ป้ายกำกับ

Google (13) forum (12) webboard (12) กระดานสนทนา (12) ethic (10) มารยาท (10) politic (9) การเมือง (9) election (6) life (6) life style (6) local (6) การเลือกตั้ง (6) ชีวิต (6) ท้องถิ่น (6) cartoon (5) history (5) การ์ตูน (5) ประวัติศาสตร์ (5) แบบแผนชีวิต (5) family (4) freetalk (4) manga (4) strategy (4) war (4) ยุทธศาสตร์ (4) สงคราม (4) สนทนาทักทาย (4) data (3) download (3) sun tzu (3) ข้อมูล (3) ครอบครัว (3) ซุนวู (3) ระเบียบวิธี (3) Algorithm (2) administration (2) art (2) book (2) buddhist (2) business (2) chatroom (2) fiction (2) instruction (2) learning (2) management (2) methodology (2) monk (2) philosophy (2) search (2) society (2) technology (2) thai (2) website (2) การเรียนรู้ (2) ค้นหา (2) จัดการ (2) ธุรกิจ (2) นิยาย (2) บริหาร (2) ปรัชญา (2) พระสงฆ์ (2) พุทธศาสนา (2) ภาษาไทย (2) วิธีใช้ (2) สังคม (2) หนังสือ (2) ห้องสนทนา (2) เทคโนโลยี (2) E-mail (1) Facebook (1) Gmail (1) Thailand (1) Twitter (1) Youtube (1) ads (1) artbook (1) artist (1) birthplace (1) blog (1) city (1) communication (1) computer (1) concubine (1) discuss (1) eating (1) fallacy (1) father (1) focus (1) food (1) future (1) growth (1) height (1) homeland (1) ink (1) internet (1) introduce (1) language (1) lie (1) logic (1) marketing (1) morale (1) open (1) paper (1) parents (1) political party (1) printer (1) procedure (1) profile (1) reader (1) scan (1) service (1) spam (1) start (1) studybook (1) sufficient (1) system (1) thanks (1) thin (1) three kingdoms (1) topic (1) traveling (1) uthaithani (1) video (1) weblog (1) webmaster (1) weight (1) กระดาษ (1) กระทู้ (1) การกิน (1) การตลาด (1) การสื่อสาร (1) การเดินทาง (1) การเติบโต (1) ขยะข้อมูล (1) ขอบคุณ (1) ข้อปฏิบัติ (1) คติธรรม (1) ความสูง (1) คอมพิวเตอร์ (1) ตรรกะวิบัติ (1) ตรรกะศาสตร์ (1) ตระกูล (1) ตอแหล (1) นักอ่าน (1) น้ำหนัก (1) บรรพชน (1) บริการ (1) บ้านเกิด (1) บ้านเกิดเมืองนอน (1) ประเทศไทย (1) ผอม (1) พรรคการเมือง (1) พอเพียง (1) พ่อ (1) ภาษา (1) มุมมอง (1) ระบบ (1) วิจารณ์ (1) ศิลปิน (1) ศีลธรรม (1) สามก๊ก (1) หมึก (1) อนาคต (1) อาหาร (1) อุทัยธานี (1) เครื่องพิมพ์ (1) เมียน้อย (1) เมือง (1) แนะนำตัว (1) แบบเรียน (1) โฆษณา (1)

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ว่่าด้วยชีวิตออนไลน์เมื่อได้เปิดFacebookและTwitterของตัวเอง

เมื่อวันที่24กรกฎาคมที่ผ่านมาFacebookของผมมีอายุเปิดทำการครบรอบ1ปีพอดี และในวันที่31กรกฎาคมนี้Twitterของผมซึ่งใช้เป็นฐานหลักในการส่งข้อความสื่อสารระบายอย่างสั้นๆก็จะมีอายุทำการครบ1ปีเช่นกัน
จริงๆแล้วเรื่องที่ผมลงเป็นข้อความสั้นๆทางTwitterหรือFacebook ถ้าผมสามารถเขียนอย่างยาวๆจนเกินขีดจำกัดของการส่งข้อความละก็ ผมน่าจะมาเขียนลงเป็นBlogที่นี่และสาขาที่อื่นอีก2ที่แทน แต่น่าเสียดายที่ผมเขียนไม่ได้ยาวเท่าไหร่เลย

ในช่วงแรกผมบ้าส่งและอ่านข้อความของชาวบ้านทางTwitterไปก่อนในช่วงที่กระแสวิวาทะการเมืองทางTwitterกำลังร้อนแรงขึ้นมา 
จุดประสงค์ในตอนนั้นของผมที่ตัดสินใจเปิดTwitterขึ้นมาก็คือการแจ้งข่าวสารอัพเดตข้อมูลในWeblogของผมเอง เพราะทุกครั้งที่ผมอัพBlogไปผมมักจะอัพอย่างเงียบๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจติดตามความเคลื่อนไหว
จนกระทั่งFacebookมีApplicationพิเศษที่เชื่อมTwitterเข้ามานั้นก็คือการส่งข้อความจากTwitterแล้วมาขึ้นที่Facebookโดยอัตโนมัติแทน ตอนแรกผมใช้Facebookเป็นเพียงที่สำรองข้อความจากTweet
แต่แล้วต่อมาเมื่อกระแสการเมืองร้อนแรงมากขึ้นบังเอิญUserที่ผมFollowingไว้หลายคนเป็นพวกสลิ่มบ้าง สีขี้บ้างแต่ผมตัดใจUnfollowทิ้งไม่ได้ นั้นก็เพราะว่าผมต้องการติดตามข้อมูลข่าวสารสำคัญที่มิใช่การเมืองจากพวกเขา และนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมเริ่มผละจากสังคมTwitterมาสู่สังคมFacebookแทน 
กลายเป็นว่าตอนนี้ผมติดFacebookมากกว่าTwitterไปซะยังงั้น เนื่องจากเพื่อนคอเดียวกันแวะเวียนเข้ามาเพิ่มชื่อFacebookของผมมาเป็นเพื่อนกันไม่เว้น แถมยังมีOption Fanpageให้สร้างหรือเข้าร่วมเพื่อสนองตัณหาส่วนตัวอยู่มากมายรวมถึงระบบทักทายหน้าWallของผู้ใช้ซึ่งเป็นข้อดีที่Twitterให้ไม่ได้ในWeblogของผมมากแค่ไหนกันแน่

ต่อมาเมื่อผมตัดสินใจมาปัดฝุ่นMy-IDตัวเองหลังจากที่อัพเกรดรุ่นไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้วไปเมื่อช่วงต้นธันวาปีที่แล้วนี่เอง และได้รู้จักกับระบบVoiceประกาศสถานะที่การใช้งานดูไปแล้วก็คล้ายๆFacebook และเมื่อมาเปิดระบบGroupเข้าไปอีกทำให้ผมรู้สึกว่าระบบGroupนี่ก็ยิ่งไปพ้องกับระบบFanpageของFacebookเข้าให้อีกแล้ว ซึ่งระบบVoiceประกาศสถานะผมเก็บเอาไว้ใช้แจ้งความเคลื่อนไหวของตัวเองที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเด็กดีแห่งนี้ แยกต่างหากจากความเคลื่อนไหวอื่นๆแต่ผมก็ยังผูกโยงการส่งข้อความของระบบVoiceเข้ากับTwitterตัวเองผ่านระบบAPIของที่นี่ที่ได้จัดเตรียมไว้

ครบรอบ1ปีที่จะถึงนี่คาดว่าจำนวนข้อความที่ผมส่งไปจะเฉียดใกล้ๆ3800ข้อความ ถือว่าไม่เยอะคิดเป็นอัตราจำนวนข้อความเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่10-11ข้อความด้วยกัน จำนวนFollowerขึ้นไปที่610กว่าๆUser ในขณะที่จำนวนเพื่อนในFacebookของผมอยู่777Userโดยผมเป็นฝ่ายแอดเองประมาณไม่เกิน150Userนอกนั้นผมเป็นฝ่ายรับแอดทั้งหมด
อีกทั้งFacebookยังเก็บรายชื่อFanpageน่าสนใจซึ่งผมได้คลิกปุ่มถูกใจมาเป็นแฟนคลับเก็บเอาไว้ รวมไปถึงTwitterที่เพิ่งเปิดระบบจัดทะเบียนListของตัวเองเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้ผมสนุกสนานมากกับการเจาะไปตามรายชื่อFollowingและListของชาวบ้านเพื่อเสาะแสวงUser Twitterสำคัญๆที่สร้างสรรค์กระแสสังคมทั้งกลุ่มธุรกิจ,ดาราคนดัง,วงการสื่อ,การเมืองแยกทั้งไทยและเทศ และสร้างสรรค์ภูมิปัญญาความรู้ให้เพิ่มพูน เป็นอาณาจักรทะเบียนTwitterที่ผมภูมิใจกับการสร้างมันขึ้นมามากมายเหมือนกันและมีFollowerติดตามListรวมกันเฉลี่ยListละ6Userด้วยกันจากทั้งหมด20Listที่ใช้งานเต็มที่

ผมไม่นิยมการส่งข้อความต่อวันแบบถี่ๆเยอะเกินไป เพราะFollowerจะคิดว่าเราคงกำลังจะส่งSpamไปก่อกวนหน้ารวมTwitterของเขาซึ่งต้องแบ่งๆกันให้ข้อความของUserอื่นๆบ้าง ถ้ารำคาญมากและบ่อยครั้งเข้าก็อาจจะคลิกUnfollowเลิกติดตามไปเลย Userไหนที่Tweetน้อยๆผมก็สามารถคลิกFollowingได้ แต่ถ้าUserไหนจำนวนTweetสูงและถี่มากๆก็จะเก็บไว้แค่ในListแทนโดยไม่มีการคลิกFollowing
นอกจากนี้เวลาที่ผมส่งข้อความ ผมมักจะอัดตัวอักษรลงไปให้เต็มที่ให้คุ้มค่าขีดจำกัด140ตัวอักษรที่สามารถส่งไปได้ลงไปโดยผมจะกระชับพื้นที่ใส่ให้ได้สัก120-130ตัวอักษรใน1ข้อความ ดังนั้นข้อความของผมที่ปรากฏในหน้าPageของผมจะมีแต่ข้อความยาวๆติดกันพรืดไปหมด เพราะผมไม่อยากจะแยกออกมาเป็นหลายๆข้อความ อีกทั้งการส่งข้อความสั้นๆมากมันรู้สึกเหมือนว่าผมใช้เนื้อที่ไปกับเนื้อหาการส่งTweetข้อความได้ไม่คุ้มค่าเลย ผมรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองจนต้องใส่ให้เต็มที่ที่สุดจะได้ไม่เกิดความรู้สึกเสียดายแบบนั้น

มาคิดดูแล้วผมน่าจะขุดเอาข้อความดีๆเก่าเก็บในTwitterมารวบรวมลงในWeblogสักหน่อยก็น่าจะดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคลิกปุ่มmoreลงไปอ่านจนสุด

ครอบครัวของกรรมกรแท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เคยเข้าใจมา

เมื่อไม่นานมานี่ พี่ชายผมได้มาเล่าให้แม่ที่ตอนนี้เป็นโรคอัลไซเมอร์ และผมได้ฟังถึงเรื่องที่รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตเหมือนเป็นละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง

พี่ผมเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พ่อของผมได้ถือโอกาสใช้ช่วงเวลาที่คุณแม่ผมกลับไปเยี่ยมญาติที่อุทัยธานีบ้านเกิด และตัวผมซึ่งตอนนั้นคาดว่าคงจะออกไปซื้อการ์ตูนที่J.C.สาส์นสะพานควายหรือไม่ก็ไปงานการ์ตูนที่เซ็นทรัลเวิลด์หรือรพ.เซ็นหลุยส์ มาขอร้องให้พี่ผมที่ตอนนั้นว่างจากงานประจำมาช่วยขับรถให้แกหน่อย

แรกๆพี่ผมเข้าใจว่าพ่อจะให้ขับรถไปที่ห้องพักในอ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เพื่อจะไปขนของสัมภาระใหญ่ที่อยู่ในห้องพักหลังจากที่เสร็จจากงานสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยไปแล้ว แต่ทว่าขับรถไปได้สักพักมาจนถึงแยกวงเวียนถนนนครอินทร์-บางกรวย จู่ๆพ่อก็บอกให้เลี้ยวกลับรถมาเข้าซอยเล็กๆก่อนถึงร้านอาหารปลายจวักที่เคยไปกินกันทั้งครอบครัว
และหลังจากนั้นก็เข้าซอยมาลึกมากพอสมควร จนกระทั่งมาหยุดที่แมนชั่นแห่งหนึ่ง จากนั้นพ่อผมก็ลงจากรถเข้าไปในแมนชั่นเหมือนเข้าไปพูดคุยกับใครสักคน จนกระทั่งแกได้เรียกตัวพี่ผมให้มาทักทายกับเขา และในที่สุดคำสารภาพอันน่าตะลึงก็ได้หลุดออกมาจากปากของพ่อผมจนได้

"นี่คือ แม่อีกคนหนึ่งของแก" พี่ผมตะลึงงัน เพราะว่าหน้าตาของหญิงวัยกลางคนที่ว่านี่ หน้าตาสู้แม่ผมไม่ได้เลยแถมฟันยังหยินอีกต่างหาก และต่อมานี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่ถูกสารภาพมาให้พี่ผมได้รับรู้ครับ

นับย้อนไปปี2522 ช่วงที่แม่ผมไปพักผ่อนช่วงที่คลอดผมที่บ้านเกิดอุทัยธานีประมาณครึ่งปีได้ พ่อผมอาศัยอย่างเดียวดายในบ้านเช่าซอยโรงเรียนพาณิชย์ ย่านเขตดินแดง ลึกเข้าไปจากถนนประชาสงเคราะห์ แกลักลอบได้เสียกับแม่คนที่ว่านี่ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแม่ค้าขายอาหารอยู่แถวตลาดหน้าแฟลตดินแดง
และพอแม่กลับมาแกก็ไม่ได้ติดต่ออะไรเขาอีกเลย จนกระทั่งแกมาทราบว่าในอีก2-3ปีต่อมาว่า แม่คนนั้นท้องและก็คลอดลูกหลังจากนั้นไม่นาน ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าแกมีลูกชายอีกคนหนึ่งเพิ่มเข้าให้


เล่ามาถึงตรงนี้ ผมลองนึกย้อนไปว่าถ้าเกิดเรื่องพรรค์อย่างงี้มันแดงขึ้นมาซะก่อนอะไรจะเกิดขึ้น คุณตาผมเสียด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่เมื่อช่วงปี2526 แน่นอนว่าคุณตาซึ่งมีอดีตเป็นทนายความและยังเคยเป็นสส.อุทัยธานี เมื่อช่วงสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม คงจะเดือดดาลอย่างที่สุด และคงจะนอนตายในโลงแบบไม่สงบไปด้วยแน่ๆ ส่วนตัวแม่ คงพูดไม่ออกว่ารู้สึกยังไงดี

พ่อผมสารภาพว่าในช่วงวันเสาร์ที่แกอ้างว่าออกไปทำงานนั้น แท้จริง แกมาเยี่ยมชู้รักและก็ลูกนอกสมรสคนนี้ที่ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มานานมากแล้ว 
จนตอนนี้ลูกนอกสมรส หรือก็คือน้องชายคนละแม่ของผมเอง จบคณะวิศวะ จากมหาวิทยาลัยสยาม และกำลังทำงานอยู่ในบริษัทโตโยต้า มอเตอร์(ประเทศไทย)จำกัด 
ซึ่งผมเองก็พอจะทราบคร่าวๆว่าแกอยากได้ลูกชายที่จบวิศวะมาสักคน ซึ่งแรกๆแกคิดว่าผมน่าจะเรียนจบได้ แต่สุดท้ายตัวผมไปไม่ไหวเพราะลักษณะนิสัยส่วนตัวผมมันไม่เข้ากับงานที่ทำ ผมมารู้ความจริงตรงนี้ผมพูดไม่ออกเลย ช่วงวัยเด็กที่ผ่านมาแกมักจะเจียดเงินให้ผมและพี่เป็นค่าขนมน้อยมากๆ แท้จริงแล้วแกเอาเงินรายได้ของแกที่หามาส่งเสียให้กับครอบครัวลับๆของแกตรงนี้นี่เอง เหมือนกับละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งยังไงยังงั้น

เอาละเพิ่งมาสารภาพตอนนี้ ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยพ่อผมก็ยังประคับประคองชีวิตครอบครัวตรงนี้จนกระทั่งลูกๆเรียนจบกันไปหมดแล้ว ก็ไม่อยากว่าอะไรเพราะลูกๆเองก็รบกวนพ่อมามากอยู่
แต่จริงๆแล้วพ่อสารภาพให้พี่ผมฟังคนเดียว โดยปิดไม่ให้แม่และผมได้รับทราบด้วย แล้วทำไมจู่ๆพี่ผมถึงเอาเรื่องมาแฉให้แม่กับผมทราบในตอนนี้ละ 

ก็เพราะว่า เงินบำนาญที่แม่ได้มาและเข้าบัญชีธนาคารของแม่ในตอนนี้ อาจจะถูกพ่อผมซึ่งถือATMไว้แทนแม่ซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์ในตอนนี้กดไปใช้ เพราะแม้แต่สมุดบัญชีเงินฝากพ่อยังเก็บไว้กับตัวด้วย
และอีกข้อ ช่วงที่พ่อพาแม่ผมไปรับเบิกเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่ครุสภา แล้วจู่ๆแม่หาเงินที่รับมาในตอนนั้นไว้ไม่เจอ ทั้งที่พ่อบอกว่าแม่เก็บไว้เองอย่างดีแล้ว พี่ผมสงสัยว่าตอนนั้นทำไมพ่อถึงไม่พาแม่เข้าไปธนาคารกรุงไทยซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั้นเพื่อเอาเงินเข้าบัญชี ดีกว่าจะถือติดตัวเอาไว้แบบนี้
แม่ผมมักจะสงสัยในตัวผมซึ่งตอนนี้ยังตกงาน อาจจะมาขโมยเงินก็ได้ ผมก็ย้ำนักหนาแล้วว่าไม่ได้เข้ามาในห้องของแม่เลยสักนิด ผมยังมีเงินใช้ของผมอยู่ ขาดเมื่อไหร่ตอนนั้นผมถึงอาจจะมาขอตรงๆแล้วเตรียมหางานขายของ7-11ทำ
ด้วยเหตุนี้พี่ผมซึ่งเริ่มสงสัยในตัวพ่อก็เลยติดสินใจแฉเรื่องนี้ให้ทราบกัน คุณแม่ดูเหมือนจะเฉยชากับเรื่องนี้ เพราะท่านเองก็สงสัยมานานมากแล้วอยู่เหมือนกันรวมไปถึงโรคอัลไซเมอร์ที่เป็นในตอนนี้ก็ทำให้ใจเฉื่อยชาไปด้วย

ผมยกปัดเรื่องนี้ให้พี่ผมเป็นคนจัดการเอง เพราะยังไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเงินๆทองๆในช่วงนี้ ผมมีแค่กองขุมทรัพย์หนังสือผมก็พอใจมากแล้ว
แต่ผมก็ยังต้องสังเกตท่าทีของพ่อเป็นระยะๆ เพราะผมเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยสัมพันธ์กับพ่อสักเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ด้วยเรื่องที่เล่ามานี่หรอกครับ เพราะแกก็มักจะเทศน์ด่าผมในเรื่องนิสัยที่ผมเป็นเนื่องจากภาวะแอสเพอร์เกอร์ของผมเองนั้นแหละ
แถมท่านรวมไปถึงแม่เองยังเป็นสาวกสื่อเน่าๆอย่างเนชั่(ว)นและAssHoleTVตัวเป้งซะอีก ทำให้ผมยิ่งต้องหนีห่างตัว หลบไปอ่านหนังสือในช่วงที่เปิดทีวีช่องที่ว่านี่ขึ้นมา

ชีวิตผมในตอนนี้ต้องออกไปหาความสุขอย่างเดียวดายกับเน็ตข้างนอกบ้าน จะมีครอบครัวใหม่ก็ไม่ได้ งานก็หาไม่ได้อีก ผมยังหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเลยถ้าเกิดว่าเงินที่เก็บไว้มันหมดขึ้นมา ผมมีแต่ต้องทนทำงานขายของในร้านสะดวกซื้อเท่านั้นสินะ เอ้อ...

กรรมกรกระทู้กับบทบาทหนอนหนังสือการ์ตูน

ผมทำBlogเกี่ยวกับการ์ตูนมาก็เยอะแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดถึงตัวกรรมกรเลยว่าทำไมถึงได้บ้าการ์ตูนขนาดนี้
ตอบตามตรงว่า การ์ตูนที่ผมโพสต์ๆลงหิ้งชั้นการ์ตูนนั้นล้วนแต่เป็นการ์ตูนที่เพิ่งจะซื้อมาสะสมในช่วง2-3ปีนับตั้งแต่หาเงินได้จากการทำงานแทบทั้งสิ้น
นับย้อนอดีตไป ผมเริ่มอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่ป.4-5ได้มั๊ง ช่วงที่การ์ตูนโดเรมอนฉบับไพเรตยังขายกันเกลื่อนเมือง 
และการ์ตูนนั้นมีทั้งประเภทที่เฉพาะเด็กอ่าน เฉพาะผู้ใหญ่อ่าน หรือแม้แต่อ่านได้ทุกวัย การ์ตูนเจาะตลาดผู้หญิงก็เยอะเอาการอยู่ ในช่วงนั้นก็ชอบตามเก็บนิตยสารการ์ตูนไพเรตรายสัปดาห์อย่างThe Zeroของวิบูลย์กิจ และThe Talentของมิตรไมตรี ตังแต่สมัยราคาเล่มละ10บาทจนก่อนจะเลิกไปและเริ่มต้นยุคการ์ตูนลิขสิทธิ์แทนเมื่อช่วงปี2536ก็เล่มละ20-25บาท รู้สึกว่าจะมีเจ้าชายจอมพลัง และก็โดเรมอนฉบับไพเรตเก็บเอาไว้ก่อนจะชั่งกิโลขายไปนานมากแล้วด้วย
ลิขสิทธิ์แรกๆก็ตามการ์ตูนเด็กผู้ชายหัวMagazineของKodansha ในKC.Weeklyมา11-12ปีได้(ก่อนจะเลือกซื้อไปเนื่องจากเกิดภาวะการ์ตูนเฟ้อรออ่านจนดองสะสม) และก็โค(ตร)นานอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนการ์ตูนเด็กผู้ชายของหัวJumpของเครือShueishaในBoomกับC-Kidก็อาศัยของคนอื่นอ่านไปเรื่อยๆ 
ช่วงที่ยังเด็กเรียนหนังสืออยู่ ผมยังไม่ได้บ้าการ์ตูนมากถึงขนาดนี้เลย ซึ่งก็ถือว่าโชคดีครับ เพราะถ้ามีคนมาคอยเลือกและซื้อการ์ตูนมาให้อ่านกันมากกว่านี้ มีหวังไม่เป็นอันเรียนแหงๆครับ แถมช่วงนั้นก็ยังติดVDOเกมFamicomและก็Super Famiconไปมากแล้วเหมือนกัน(แต่ตอนนี้ติดเน็ตแทนแล้วครับเกมไม่ได้เล่นไม่ได้ซื้ออีกต่อไปแล้วแม้กระทั่งเกมออนไลน์ด้วย) แต่ก็โชคดีที่ช่วงป.5-6ครอบครัวผมซื้อการ์ตูนความรู้ลิขสิทธิ์จากGakkenของสำนักพิมพ์ซีเอ็ดยูเคชั่นเป็นชุดกล่องใหญ่2ชุดราคาเกือบ1000บาทได้ เป็นเล่มปกแข็งชุดละ9เล่มได้(ถ้าเป็นราคาในสมัยนี้ถือว่าถูกสุดๆเลยละครับ แต่ในสมัยโน้นถือว่าแพงพอสมควร)
จนเมื่อ2-3ปีมานี่ทำงานได้เงินเก็บมาเหลือเฟือ แถมเวลาว่างก็เยอะ ประกอบร้านเช่าการ์ตูนก็กำลังบูมสุดขีด ก็เลยบ้าซื้อการ์ตูนอ่านกันเป็นว่าเล่นเก็บกระทั่งการ์ตูนผู้หญิงดีๆบางเรื่องที่เนื้อหาสอบผ่านอีกต่างหาก และก็ได้รู้ว่าการ์ตูนถ้ารู้จักคัดเลือกให้ดีมันจะมีคุณค่าพอๆกับหนังสือสาระน้ำดี ไปจนถึงวรรณกรรมชีวิตผจญภัยสุดเข้มข้นต้นแบบชิ้นเยี่ยมเสริมจินตนาการเล่มหนึ่งเลยละครับ

คุยเฟื่องเรื่องเครื่องPrinter,ScannerและCopyในตัวเดียวกัน

ผมไปงานคอมมาร์ทมาเมื่อกลางเดือนมีนา ก่อนงานสัปดาห์หนังสือไม่กี่วัน คิดว่าคงจะไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาแล้วแท้ๆเชียว แต่พอได้ดูเครื่องInkjet Printerซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่Printerอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังเป็นเครื่องScanner,เครื่องCopyถ่ายเอกสารและPhotoCaptureอีกด้วย แต่ราคาขั้นต้นอยู่ที่2000บาทต้นๆเองครับ
เทียบกับColour Inkjet Printerตัวเก่าอย่างCanon Colour Bubblejetรุ่นBJC-4310SPซื้อเมื่อปี2542ราคา7000-8000บาทเข้าไปแล้วคนละเรื่องเลยครับ ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรกลเทคโนโลยีสูงมากจนน่ากลัวจริงๆ ทางบ้านผมเองก็ไม่ได้ใช้เครื่องพิมพ์ตัวเก่ามาตั้งนานแล้ว คาดว่าหัวหมึกคงจะอุดตันไปหมดแล้วละมั๊ง

หลังจากตรวจสอบราคาและก็ความสามารถมาเรียบร้อยแล้วก็เลยถือโอกาสทุ่มทุนประมาณ2390บาทซื้อPrinter All in Oneเครื่องใหม่เป็นยี่ห้อBrotherรุ่นDCP-150C Specของเครื่องก็ตามรายละเอียดนี้ครับ
Print ความเร็วในพิมพ์สี/ขาวดำ 22/27 แผ่นต่อนาที
ความละเอียดการพิมพ์ 1200*6000 dpi.
Copy ความเร็วในการถ่ายเอกสารสี/ขาวดำ 18/20 แผ่นต่อนาที
ความละเอียดสูงสุดในการScan 19200*19200 dpi.
พิมพ์รูปหรือเอกสารโดยตรงจากFlash Driveหรือแผ่นSD Cardได้โดยที่มีช่องให้เสียบโดยเฉพาะโดยไม่ต้องต่อผ่านคอม
ใช้ตลับหมึกของแท้ราคา490บาทสำหรับสีดำ และราคา290บาทแยกตามสีต่างหาก สำหรับสีเหลืองส้ม(Yellow),สีน้ำเงินเข้ม(Cyan)และสีชมพูเข้ม(Magenta) พิมพ์ภาพสีขนาดA4ได้200หน้า

ว่าด้วยราคาตลับหมึกของPrinterแต่ละยี่ห้อผมก็มีข้อมูลเอามาเปรียบเทียบให้อ่านกันด้วยโดยแยกเป็นดังนี้
Canon145 หมึกดำ830ราคาตลับละ710บาทพิมพ์ได้225หน้า หมึกสี831ราคาตลับละ870บาทพิมพ์ได้205หน้า
Hewlette Packard4185 หมึกดำ21ราคาตลับละ550บาทพิมพ์ได้185หน้า หมึกสี22ราคาตลับละ650บาทพิมพ์ได้170หน้า
Epson CX5500 หมึกดำT0911ราคาตลับละ190บาทพิมพ์ได้170หน้า หมึกสีT0912-4ทั้งหมด3ตลับ ตลับละ190บาทพิมพ์ได้200หน้า
ซึ่งถ้าเอามาเทียบกันแล้วตลับหมึกของEpsonราคาถูกสุดรองลงก็Hewlette Packard แพงสุดก็Canon โดยคิดจากราคาตลับหมึกต่อจำนวนหน้าที่พิมพ์ได้ โดยผมไม่มีข้อมูลจากทางยี่ห้อBrotherมาเปรียบเทียบด้วย

นอกจากนี้ผมยังซื้อชุดInk Tankสำหรับใช้เพื่อจะได้ไม่ต้องซื้อตลับหมึกราคาแพงๆโดยแลกกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียประกันเครื่อง2ปี ยี่ห้อInkMediaสำหรับใช้กับตลับหมึกรุ่นLC37พร้อมหมึกในTank4สี สีละ100ml. และยังแถมหมึกเติม4สี4ขวดไว้เติมเพิ่มอีก ราคาทั้งหมดก็1600บาท กะเก็บไว้ใช้หลังจากที่ใช้หมึกตลับแท้จนหมดนั้นแหละครับ โดยหมึกเติมขวดละ100ml.แยกตามสีทั้งหมด4ขวดพิมพ์ภาพสีขนาดA4ได้1500หน้าครับ ชุดหนึ่งก็ราคา544บาท

ทดลองใช้ดูแล้วก็ทึ่งในความสามารถของเครื่องพิมพ์ปัจจุบันจริงๆ ทั้งScanเอกสารหลักฐานส่วนตัวเป็นไฟล์ลงเครื่อง ,พิมพ์ภาพสีจากไฟล์รูปภาพ และถ่ายเอกสารหลักฐานเก็บสำรองไว้ใช้ไม่ต้องไปพึ่งร้านถ่ายเอกสารอีกต่อไป
ตอนนี้ใช้หมึกในตลับแท้หมดไปแล้วทั้ง4สี(แต่จริงๆแล้วหมึกดำเกิดหมดก่อนในขณะที่หมึกสียังไม่หมด เนื่องจากในการพิมพ์ภาพสีนั้นมีการใช้หมึกดำด้วย) พิมพ์ภาพสี+ขาวดำได้ประมาณ250แผ่นได้มั๊ง 
ทดลองใช้Ink Tankก็ดูปกติใช้ได้ดีมากเลยหมดเมื่อไหร่เวลาเติมก็สะดวกละ ถ้าทำตามขั้นตอนในคู่มือรับรองว่าหมึกไม่หยดเลอะเทอะแน่นอน หมึกที่มักจะใช้เยอะสุดคือหมึกเหลืองส้ม(Yellow)ครับรองลงมาก็หมึกดำ ใช้น้อยสุดพอๆกันระหว่างหมึกชมพูเข้ม(Magenta)กับหมึกน้ำเงิน(Cyan)

ราคา2000ต้นๆนี่คือราคาขั้นต่ำสุดของPrinter All in Oneแล้วครับ ไม่แน่ว่าต่อไปPrinter All in Oneที่มีความสามารถในการรับส่งโทรสาร(Fax.Modemส่งทำเวลาได้3วินาทีต่อแผ่น) ,ระบบป้อนกระดาษเพื่อScanหรือCopyถ่ายเอกสารอัตโนมัติสูงสุด35แผ่น ,ระบบเครือข่ายสำหรับใช้ได้หลายๆคนและWirelessไร้สาย ที่มีราคาตั้งแต่8000-12000บาท ในอนาคตราคาอาจจะตกลงอย่างมากจนน่ากลัวไปเลยก็ได้

ส่วนLaser Printerตอนนี้ราคาก็ยังสูงอยู่ประมาณ10000-20000บาท สำหรับความสามารถพิมพ์ ถ่ายเอกสารขาวดำ และScanเอกสารในเครื่องเดียว 
แต่ถ้าเอาเฉพาะพิมพ์ขาวดำอย่างเดียวราคาอยู่ที่4000-9000บาท
และถ้าเป็นพวกColour Laser Printer All in One ราคาจะถีบขึ้นเป็น30000-45000บาทครับ
ตลับผงหมึกที่ใช้ก็มีตั้งแต่1090บาท(พิมพ์ขาวดำได้12000แผ่น หน้าปก5%)ไปจนถึงราคา3490กับ4590บาท(พิมพ์4สีได้4000-5000แผ่น หน้าปก5%)
นอกจากนี้ก็มีตลับแม่พิมพ์(Drum)ราคา9900บาท(พิมพ์4สีได้17000แผ่น)
กับราคา2990-5490บาท(พิมพ์ขาวดำได้12000-25000แผ่น)

ถึงตรงนี้Laser Printerคุ้มค่ากว่าInkjetแค่งานพิมพ์ขาวดำเท่านั้น ส่วนงานพิมพ์สีนั้นInkjetยังถูกกว่าเยอะครับ
ในอนาคตถ้าLaser Printer All in Oneขาวดำและตลับหมึกที่ใช้ ราคาถูกลงมากกว่านี้ ผมอาจจะตัดสินซื้อก็ได้อยู่ครับ เพราะจำนวนงานพิมพ์ต่อราคาตลับหมึกที่ใช้น้อยกว่าInkjetหลายเท่าเลยครับ

ส่วนกระดาษเอาที่ราคาถูกสุดก็คงเป็นกระดาษที่ผลิตโดยบริษัทรีมส์แอนด์โรลส์จำกัด 80/6 หมู่11 ถนนเจริญพัฒนา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 10510 โดยมักจะเอามาขายโดยใช้ยี่ห้อของห้างค้าปลีกที่เอามาจัดจำหน่ายทั่วไป เช่นOffice Depot ,First Price(ของห้างBig C) ฯลฯ
แบ่งเป็นกระดาษทั่วไปผลิตจากเยื่อไม้โดยตรงกับกระดาษรีไซเคิลที่ผลิตจากกระดาษที่ใช้แล้วผสมกับเยื่อไม้กับใส่สารฟอกขาวสักหน่อย เพื่อให้ได้กระดาษออกมาขาวสะอาดไม่แพ้กระดาษทั่วไป
แยกเป็นความหนา70แกรมกับ80แกรม(แกรม(Gram)คิดจากน้ำหนักในหน่วยกรัมของกระดาษพื้นที่1ตารางเมตร)

โดยราคากระดาษ1รีมส์(Remes)ที่หาข้อมูลมาได้
กระดาษทั่วไป80แกรม จำนวน500แผ่น ราคา97บาท
กระดาษทั่วไป70แกรม จำนวน500แผ่น ราคา87บาท
กระดาษรีไซเคิล80แกรม จำนวน450แผ่น ราคา79บาท
กระดาษรีไซเคิล70แกรม จำนวน450แผ่น ราคา69บาท

ในที่นี้ผมเลือกใช้เอากระดาษรีไซเคิล80แกรม ซึ่งผิวเนื้อกระดาษอาจจะหยาบด้านกว่ากระดาษDouble A80แกรม ราคา119บาทอยู่นิดหน่อย
แต่ก็สามารถเอามาใช้พิมพ์ภาพสีได้คุณภาพดีไม่ได้ต่างกันเลย
โดยหลังจากพิมพ์ภาพสีกระดาษอาจจะชื้นเป็นลอนเนื่องจากปริมาณที่หมึกที่เข้มมาก แต่ถ้าเอามาตากลมให้แห้งแล้วก็เอามาซ้อนทับกันก็จะเรียบสนิทสวยงามไม่เลอะเทอะเลย

งานคอมมาร์ทที่ผ่านมาผมได้ลองซื้อหมึกเติมยี่ห้อHot Printราคาขวดละ100บาท4ขวด4สี มาสำรองไว้ยังไม่ได้ทดลองเติมเลยยังบอกไม่ได้ว่าสามารถใช้แทนMediaJetที่ราคา4ขวด544บาทนี่ได้หรือไม่
และก็มีกระดาษPhoto Glossy Paper(พิมพ์สีเคลือบพิเศษผิวมันเงา)ขนาดA4ความหนา150แกรม 100แผ่นราคา200บาทยี่ห้อHi-Jet ผลิตโดยบริษัท Hi-Coat(Thailand) จำกัด จำหน่ายโดยบริษัท ปภาวิน จำกัด 88 หมู่4 ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130 เป็นราคาที่ถูกที่สุดแล้วสำหรับกระดาษแบบนี้

ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของที่ดินในย่านละแวกบ้านผมเอง

เมื่อ5ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสได้ชมโฉนดที่ดินบ้านผมซึ่งเดิมเคยเอาไปจำนองผ่อนกู้กับธนาคารเอาไว้นานมากๆ ในที่สุดก็สามารถชำระหนี้ธนาคารได้ครบเรียบร้อยแล้วไปไถ่ถอนจากธนาคารได้เมื่อช่วงต้นปีนี่เอง

ละแวกที่ดินบ้านที่ผมอยู่เนื้อที่52ตารางวานี่ เดิมเคยเป็นที่ดินป่าหญ้ารกๆของครอบครัวตระกูลทั่งบุญ ซึ่งต่อมาได้ขายให้กับคุณมงคล พุ่มมณเฑียรชัย เจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรรเมื่อ2 พฤษภาคม 2522 ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนรัชดาภิเษกสร้างเสร็จพอดี โดยใช้เวลาก่อสร้างบ้านจัดสรรแถวนั้นประมาณปีครึ่งด้วยกัน 
แรกๆบ้านหลังนี้ถูกขายให้กับสองผัวเมียนายตำรวจคู่หนึ่ง เมื่อวันที่17 ธันวาคม 2523
ก่อนที่จะมาขายต่อให้กับพ่อแม่ผมเองโดยใช้ชื่อคุณยายเป็นเจ้าบ้านไปก่อน เมื่อวันที่13กรกฎาคม 2526(จะเรียกว่าเป็นวันขึ้นบ้านใหม่ของครอบครัวผมก็ว่าได้) เพราะช่วงนั้นสวัสดิการสังคมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของราชการยังไม่พร้อม แรกๆเอาไปจำนองกับธนาคารกรุงเทพ
ต่อมาถึงช่วงปี2532 ก็ได้โอนชื่อมาเป็นของแม่ผมเองและย้ายมาจำนองกับทางธนาคารอาคารสงเคราะห์แทน และก็ผ่อนชำระเรื่อยมาจนหมดหนี้ในที่สุด 
กว่าจะมีบ้านอยู่ได้สักหลังนี่ต้องลำบากมาแสนนาน เลยเข้าใจหัวอกพ่อแม่วัยทำงานช่วงนั้นได้ดีเลยครับ