ป้ายกำกับ

Google (13) forum (12) webboard (12) กระดานสนทนา (12) ethic (10) มารยาท (10) politic (9) การเมือง (9) election (6) life (6) life style (6) local (6) การเลือกตั้ง (6) ชีวิต (6) ท้องถิ่น (6) cartoon (5) history (5) การ์ตูน (5) ประวัติศาสตร์ (5) แบบแผนชีวิต (5) family (4) freetalk (4) manga (4) strategy (4) war (4) ยุทธศาสตร์ (4) สงคราม (4) สนทนาทักทาย (4) data (3) download (3) sun tzu (3) ข้อมูล (3) ครอบครัว (3) ซุนวู (3) ระเบียบวิธี (3) Algorithm (2) administration (2) art (2) book (2) buddhist (2) business (2) chatroom (2) fiction (2) instruction (2) learning (2) management (2) methodology (2) monk (2) philosophy (2) search (2) society (2) technology (2) thai (2) website (2) การเรียนรู้ (2) ค้นหา (2) จัดการ (2) ธุรกิจ (2) นิยาย (2) บริหาร (2) ปรัชญา (2) พระสงฆ์ (2) พุทธศาสนา (2) ภาษาไทย (2) วิธีใช้ (2) สังคม (2) หนังสือ (2) ห้องสนทนา (2) เทคโนโลยี (2) E-mail (1) Facebook (1) Gmail (1) Thailand (1) Twitter (1) Youtube (1) ads (1) artbook (1) artist (1) birthplace (1) blog (1) city (1) communication (1) computer (1) concubine (1) discuss (1) eating (1) fallacy (1) father (1) focus (1) food (1) future (1) growth (1) height (1) homeland (1) ink (1) internet (1) introduce (1) language (1) lie (1) logic (1) marketing (1) morale (1) open (1) paper (1) parents (1) political party (1) printer (1) procedure (1) profile (1) reader (1) scan (1) service (1) spam (1) start (1) studybook (1) sufficient (1) system (1) thanks (1) thin (1) three kingdoms (1) topic (1) traveling (1) uthaithani (1) video (1) weblog (1) webmaster (1) weight (1) กระดาษ (1) กระทู้ (1) การกิน (1) การตลาด (1) การสื่อสาร (1) การเดินทาง (1) การเติบโต (1) ขยะข้อมูล (1) ขอบคุณ (1) ข้อปฏิบัติ (1) คติธรรม (1) ความสูง (1) คอมพิวเตอร์ (1) ตรรกะวิบัติ (1) ตรรกะศาสตร์ (1) ตระกูล (1) ตอแหล (1) นักอ่าน (1) น้ำหนัก (1) บรรพชน (1) บริการ (1) บ้านเกิด (1) บ้านเกิดเมืองนอน (1) ประเทศไทย (1) ผอม (1) พรรคการเมือง (1) พอเพียง (1) พ่อ (1) ภาษา (1) มุมมอง (1) ระบบ (1) วิจารณ์ (1) ศิลปิน (1) ศีลธรรม (1) สามก๊ก (1) หมึก (1) อนาคต (1) อาหาร (1) อุทัยธานี (1) เครื่องพิมพ์ (1) เมียน้อย (1) เมือง (1) แนะนำตัว (1) แบบเรียน (1) โฆษณา (1)

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ว่่าด้วยชีวิตออนไลน์เมื่อได้เปิดFacebookและTwitterของตัวเอง

เมื่อวันที่24กรกฎาคมที่ผ่านมาFacebookของผมมีอายุเปิดทำการครบรอบ1ปีพอดี และในวันที่31กรกฎาคมนี้Twitterของผมซึ่งใช้เป็นฐานหลักในการส่งข้อความสื่อสารระบายอย่างสั้นๆก็จะมีอายุทำการครบ1ปีเช่นกัน
จริงๆแล้วเรื่องที่ผมลงเป็นข้อความสั้นๆทางTwitterหรือFacebook ถ้าผมสามารถเขียนอย่างยาวๆจนเกินขีดจำกัดของการส่งข้อความละก็ ผมน่าจะมาเขียนลงเป็นBlogที่นี่และสาขาที่อื่นอีก2ที่แทน แต่น่าเสียดายที่ผมเขียนไม่ได้ยาวเท่าไหร่เลย

ในช่วงแรกผมบ้าส่งและอ่านข้อความของชาวบ้านทางTwitterไปก่อนในช่วงที่กระแสวิวาทะการเมืองทางTwitterกำลังร้อนแรงขึ้นมา 
จุดประสงค์ในตอนนั้นของผมที่ตัดสินใจเปิดTwitterขึ้นมาก็คือการแจ้งข่าวสารอัพเดตข้อมูลในWeblogของผมเอง เพราะทุกครั้งที่ผมอัพBlogไปผมมักจะอัพอย่างเงียบๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจติดตามความเคลื่อนไหว
จนกระทั่งFacebookมีApplicationพิเศษที่เชื่อมTwitterเข้ามานั้นก็คือการส่งข้อความจากTwitterแล้วมาขึ้นที่Facebookโดยอัตโนมัติแทน ตอนแรกผมใช้Facebookเป็นเพียงที่สำรองข้อความจากTweet
แต่แล้วต่อมาเมื่อกระแสการเมืองร้อนแรงมากขึ้นบังเอิญUserที่ผมFollowingไว้หลายคนเป็นพวกสลิ่มบ้าง สีขี้บ้างแต่ผมตัดใจUnfollowทิ้งไม่ได้ นั้นก็เพราะว่าผมต้องการติดตามข้อมูลข่าวสารสำคัญที่มิใช่การเมืองจากพวกเขา และนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมเริ่มผละจากสังคมTwitterมาสู่สังคมFacebookแทน 
กลายเป็นว่าตอนนี้ผมติดFacebookมากกว่าTwitterไปซะยังงั้น เนื่องจากเพื่อนคอเดียวกันแวะเวียนเข้ามาเพิ่มชื่อFacebookของผมมาเป็นเพื่อนกันไม่เว้น แถมยังมีOption Fanpageให้สร้างหรือเข้าร่วมเพื่อสนองตัณหาส่วนตัวอยู่มากมายรวมถึงระบบทักทายหน้าWallของผู้ใช้ซึ่งเป็นข้อดีที่Twitterให้ไม่ได้ในWeblogของผมมากแค่ไหนกันแน่

ต่อมาเมื่อผมตัดสินใจมาปัดฝุ่นMy-IDตัวเองหลังจากที่อัพเกรดรุ่นไปตั้งแต่ต้นปีที่แล้วไปเมื่อช่วงต้นธันวาปีที่แล้วนี่เอง และได้รู้จักกับระบบVoiceประกาศสถานะที่การใช้งานดูไปแล้วก็คล้ายๆFacebook และเมื่อมาเปิดระบบGroupเข้าไปอีกทำให้ผมรู้สึกว่าระบบGroupนี่ก็ยิ่งไปพ้องกับระบบFanpageของFacebookเข้าให้อีกแล้ว ซึ่งระบบVoiceประกาศสถานะผมเก็บเอาไว้ใช้แจ้งความเคลื่อนไหวของตัวเองที่เกี่ยวข้องกับชุมชนเด็กดีแห่งนี้ แยกต่างหากจากความเคลื่อนไหวอื่นๆแต่ผมก็ยังผูกโยงการส่งข้อความของระบบVoiceเข้ากับTwitterตัวเองผ่านระบบAPIของที่นี่ที่ได้จัดเตรียมไว้

ครบรอบ1ปีที่จะถึงนี่คาดว่าจำนวนข้อความที่ผมส่งไปจะเฉียดใกล้ๆ3800ข้อความ ถือว่าไม่เยอะคิดเป็นอัตราจำนวนข้อความเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่10-11ข้อความด้วยกัน จำนวนFollowerขึ้นไปที่610กว่าๆUser ในขณะที่จำนวนเพื่อนในFacebookของผมอยู่777Userโดยผมเป็นฝ่ายแอดเองประมาณไม่เกิน150Userนอกนั้นผมเป็นฝ่ายรับแอดทั้งหมด
อีกทั้งFacebookยังเก็บรายชื่อFanpageน่าสนใจซึ่งผมได้คลิกปุ่มถูกใจมาเป็นแฟนคลับเก็บเอาไว้ รวมไปถึงTwitterที่เพิ่งเปิดระบบจัดทะเบียนListของตัวเองเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้ผมสนุกสนานมากกับการเจาะไปตามรายชื่อFollowingและListของชาวบ้านเพื่อเสาะแสวงUser Twitterสำคัญๆที่สร้างสรรค์กระแสสังคมทั้งกลุ่มธุรกิจ,ดาราคนดัง,วงการสื่อ,การเมืองแยกทั้งไทยและเทศ และสร้างสรรค์ภูมิปัญญาความรู้ให้เพิ่มพูน เป็นอาณาจักรทะเบียนTwitterที่ผมภูมิใจกับการสร้างมันขึ้นมามากมายเหมือนกันและมีFollowerติดตามListรวมกันเฉลี่ยListละ6Userด้วยกันจากทั้งหมด20Listที่ใช้งานเต็มที่

ผมไม่นิยมการส่งข้อความต่อวันแบบถี่ๆเยอะเกินไป เพราะFollowerจะคิดว่าเราคงกำลังจะส่งSpamไปก่อกวนหน้ารวมTwitterของเขาซึ่งต้องแบ่งๆกันให้ข้อความของUserอื่นๆบ้าง ถ้ารำคาญมากและบ่อยครั้งเข้าก็อาจจะคลิกUnfollowเลิกติดตามไปเลย Userไหนที่Tweetน้อยๆผมก็สามารถคลิกFollowingได้ แต่ถ้าUserไหนจำนวนTweetสูงและถี่มากๆก็จะเก็บไว้แค่ในListแทนโดยไม่มีการคลิกFollowing
นอกจากนี้เวลาที่ผมส่งข้อความ ผมมักจะอัดตัวอักษรลงไปให้เต็มที่ให้คุ้มค่าขีดจำกัด140ตัวอักษรที่สามารถส่งไปได้ลงไปโดยผมจะกระชับพื้นที่ใส่ให้ได้สัก120-130ตัวอักษรใน1ข้อความ ดังนั้นข้อความของผมที่ปรากฏในหน้าPageของผมจะมีแต่ข้อความยาวๆติดกันพรืดไปหมด เพราะผมไม่อยากจะแยกออกมาเป็นหลายๆข้อความ อีกทั้งการส่งข้อความสั้นๆมากมันรู้สึกเหมือนว่าผมใช้เนื้อที่ไปกับเนื้อหาการส่งTweetข้อความได้ไม่คุ้มค่าเลย ผมรู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองจนต้องใส่ให้เต็มที่ที่สุดจะได้ไม่เกิดความรู้สึกเสียดายแบบนั้น

มาคิดดูแล้วผมน่าจะขุดเอาข้อความดีๆเก่าเก็บในTwitterมารวบรวมลงในWeblogสักหน่อยก็น่าจะดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาคลิกปุ่มmoreลงไปอ่านจนสุด

ครอบครัวของกรรมกรแท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เคยเข้าใจมา

เมื่อไม่นานมานี่ พี่ชายผมได้มาเล่าให้แม่ที่ตอนนี้เป็นโรคอัลไซเมอร์ และผมได้ฟังถึงเรื่องที่รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตเหมือนเป็นละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง

พี่ผมเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พ่อของผมได้ถือโอกาสใช้ช่วงเวลาที่คุณแม่ผมกลับไปเยี่ยมญาติที่อุทัยธานีบ้านเกิด และตัวผมซึ่งตอนนั้นคาดว่าคงจะออกไปซื้อการ์ตูนที่J.C.สาส์นสะพานควายหรือไม่ก็ไปงานการ์ตูนที่เซ็นทรัลเวิลด์หรือรพ.เซ็นหลุยส์ มาขอร้องให้พี่ผมที่ตอนนั้นว่างจากงานประจำมาช่วยขับรถให้แกหน่อย

แรกๆพี่ผมเข้าใจว่าพ่อจะให้ขับรถไปที่ห้องพักในอ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เพื่อจะไปขนของสัมภาระใหญ่ที่อยู่ในห้องพักหลังจากที่เสร็จจากงานสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยไปแล้ว แต่ทว่าขับรถไปได้สักพักมาจนถึงแยกวงเวียนถนนนครอินทร์-บางกรวย จู่ๆพ่อก็บอกให้เลี้ยวกลับรถมาเข้าซอยเล็กๆก่อนถึงร้านอาหารปลายจวักที่เคยไปกินกันทั้งครอบครัว
และหลังจากนั้นก็เข้าซอยมาลึกมากพอสมควร จนกระทั่งมาหยุดที่แมนชั่นแห่งหนึ่ง จากนั้นพ่อผมก็ลงจากรถเข้าไปในแมนชั่นเหมือนเข้าไปพูดคุยกับใครสักคน จนกระทั่งแกได้เรียกตัวพี่ผมให้มาทักทายกับเขา และในที่สุดคำสารภาพอันน่าตะลึงก็ได้หลุดออกมาจากปากของพ่อผมจนได้

"นี่คือ แม่อีกคนหนึ่งของแก" พี่ผมตะลึงงัน เพราะว่าหน้าตาของหญิงวัยกลางคนที่ว่านี่ หน้าตาสู้แม่ผมไม่ได้เลยแถมฟันยังหยินอีกต่างหาก และต่อมานี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่ถูกสารภาพมาให้พี่ผมได้รับรู้ครับ

นับย้อนไปปี2522 ช่วงที่แม่ผมไปพักผ่อนช่วงที่คลอดผมที่บ้านเกิดอุทัยธานีประมาณครึ่งปีได้ พ่อผมอาศัยอย่างเดียวดายในบ้านเช่าซอยโรงเรียนพาณิชย์ ย่านเขตดินแดง ลึกเข้าไปจากถนนประชาสงเคราะห์ แกลักลอบได้เสียกับแม่คนที่ว่านี่ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแม่ค้าขายอาหารอยู่แถวตลาดหน้าแฟลตดินแดง
และพอแม่กลับมาแกก็ไม่ได้ติดต่ออะไรเขาอีกเลย จนกระทั่งแกมาทราบว่าในอีก2-3ปีต่อมาว่า แม่คนนั้นท้องและก็คลอดลูกหลังจากนั้นไม่นาน ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าแกมีลูกชายอีกคนหนึ่งเพิ่มเข้าให้


เล่ามาถึงตรงนี้ ผมลองนึกย้อนไปว่าถ้าเกิดเรื่องพรรค์อย่างงี้มันแดงขึ้นมาซะก่อนอะไรจะเกิดขึ้น คุณตาผมเสียด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่เมื่อช่วงปี2526 แน่นอนว่าคุณตาซึ่งมีอดีตเป็นทนายความและยังเคยเป็นสส.อุทัยธานี เมื่อช่วงสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม คงจะเดือดดาลอย่างที่สุด และคงจะนอนตายในโลงแบบไม่สงบไปด้วยแน่ๆ ส่วนตัวแม่ คงพูดไม่ออกว่ารู้สึกยังไงดี

พ่อผมสารภาพว่าในช่วงวันเสาร์ที่แกอ้างว่าออกไปทำงานนั้น แท้จริง แกมาเยี่ยมชู้รักและก็ลูกนอกสมรสคนนี้ที่ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มานานมากแล้ว 
จนตอนนี้ลูกนอกสมรส หรือก็คือน้องชายคนละแม่ของผมเอง จบคณะวิศวะ จากมหาวิทยาลัยสยาม และกำลังทำงานอยู่ในบริษัทโตโยต้า มอเตอร์(ประเทศไทย)จำกัด 
ซึ่งผมเองก็พอจะทราบคร่าวๆว่าแกอยากได้ลูกชายที่จบวิศวะมาสักคน ซึ่งแรกๆแกคิดว่าผมน่าจะเรียนจบได้ แต่สุดท้ายตัวผมไปไม่ไหวเพราะลักษณะนิสัยส่วนตัวผมมันไม่เข้ากับงานที่ทำ ผมมารู้ความจริงตรงนี้ผมพูดไม่ออกเลย ช่วงวัยเด็กที่ผ่านมาแกมักจะเจียดเงินให้ผมและพี่เป็นค่าขนมน้อยมากๆ แท้จริงแล้วแกเอาเงินรายได้ของแกที่หามาส่งเสียให้กับครอบครัวลับๆของแกตรงนี้นี่เอง เหมือนกับละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งยังไงยังงั้น

เอาละเพิ่งมาสารภาพตอนนี้ ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยพ่อผมก็ยังประคับประคองชีวิตครอบครัวตรงนี้จนกระทั่งลูกๆเรียนจบกันไปหมดแล้ว ก็ไม่อยากว่าอะไรเพราะลูกๆเองก็รบกวนพ่อมามากอยู่
แต่จริงๆแล้วพ่อสารภาพให้พี่ผมฟังคนเดียว โดยปิดไม่ให้แม่และผมได้รับทราบด้วย แล้วทำไมจู่ๆพี่ผมถึงเอาเรื่องมาแฉให้แม่กับผมทราบในตอนนี้ละ 

ก็เพราะว่า เงินบำนาญที่แม่ได้มาและเข้าบัญชีธนาคารของแม่ในตอนนี้ อาจจะถูกพ่อผมซึ่งถือATMไว้แทนแม่ซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์ในตอนนี้กดไปใช้ เพราะแม้แต่สมุดบัญชีเงินฝากพ่อยังเก็บไว้กับตัวด้วย
และอีกข้อ ช่วงที่พ่อพาแม่ผมไปรับเบิกเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่ครุสภา แล้วจู่ๆแม่หาเงินที่รับมาในตอนนั้นไว้ไม่เจอ ทั้งที่พ่อบอกว่าแม่เก็บไว้เองอย่างดีแล้ว พี่ผมสงสัยว่าตอนนั้นทำไมพ่อถึงไม่พาแม่เข้าไปธนาคารกรุงไทยซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั้นเพื่อเอาเงินเข้าบัญชี ดีกว่าจะถือติดตัวเอาไว้แบบนี้
แม่ผมมักจะสงสัยในตัวผมซึ่งตอนนี้ยังตกงาน อาจจะมาขโมยเงินก็ได้ ผมก็ย้ำนักหนาแล้วว่าไม่ได้เข้ามาในห้องของแม่เลยสักนิด ผมยังมีเงินใช้ของผมอยู่ ขาดเมื่อไหร่ตอนนั้นผมถึงอาจจะมาขอตรงๆแล้วเตรียมหางานขายของ7-11ทำ
ด้วยเหตุนี้พี่ผมซึ่งเริ่มสงสัยในตัวพ่อก็เลยติดสินใจแฉเรื่องนี้ให้ทราบกัน คุณแม่ดูเหมือนจะเฉยชากับเรื่องนี้ เพราะท่านเองก็สงสัยมานานมากแล้วอยู่เหมือนกันรวมไปถึงโรคอัลไซเมอร์ที่เป็นในตอนนี้ก็ทำให้ใจเฉื่อยชาไปด้วย

ผมยกปัดเรื่องนี้ให้พี่ผมเป็นคนจัดการเอง เพราะยังไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเงินๆทองๆในช่วงนี้ ผมมีแค่กองขุมทรัพย์หนังสือผมก็พอใจมากแล้ว
แต่ผมก็ยังต้องสังเกตท่าทีของพ่อเป็นระยะๆ เพราะผมเองช่วงนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยสัมพันธ์กับพ่อสักเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ด้วยเรื่องที่เล่ามานี่หรอกครับ เพราะแกก็มักจะเทศน์ด่าผมในเรื่องนิสัยที่ผมเป็นเนื่องจากภาวะแอสเพอร์เกอร์ของผมเองนั้นแหละ
แถมท่านรวมไปถึงแม่เองยังเป็นสาวกสื่อเน่าๆอย่างเนชั่(ว)นและAssHoleTVตัวเป้งซะอีก ทำให้ผมยิ่งต้องหนีห่างตัว หลบไปอ่านหนังสือในช่วงที่เปิดทีวีช่องที่ว่านี่ขึ้นมา

ชีวิตผมในตอนนี้ต้องออกไปหาความสุขอย่างเดียวดายกับเน็ตข้างนอกบ้าน จะมีครอบครัวใหม่ก็ไม่ได้ งานก็หาไม่ได้อีก ผมยังหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอเลยถ้าเกิดว่าเงินที่เก็บไว้มันหมดขึ้นมา ผมมีแต่ต้องทนทำงานขายของในร้านสะดวกซื้อเท่านั้นสินะ เอ้อ...

กรรมกรกระทู้กับบทบาทหนอนหนังสือการ์ตูน

ผมทำBlogเกี่ยวกับการ์ตูนมาก็เยอะแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดถึงตัวกรรมกรเลยว่าทำไมถึงได้บ้าการ์ตูนขนาดนี้
ตอบตามตรงว่า การ์ตูนที่ผมโพสต์ๆลงหิ้งชั้นการ์ตูนนั้นล้วนแต่เป็นการ์ตูนที่เพิ่งจะซื้อมาสะสมในช่วง2-3ปีนับตั้งแต่หาเงินได้จากการทำงานแทบทั้งสิ้น
นับย้อนอดีตไป ผมเริ่มอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่ป.4-5ได้มั๊ง ช่วงที่การ์ตูนโดเรมอนฉบับไพเรตยังขายกันเกลื่อนเมือง 
และการ์ตูนนั้นมีทั้งประเภทที่เฉพาะเด็กอ่าน เฉพาะผู้ใหญ่อ่าน หรือแม้แต่อ่านได้ทุกวัย การ์ตูนเจาะตลาดผู้หญิงก็เยอะเอาการอยู่ ในช่วงนั้นก็ชอบตามเก็บนิตยสารการ์ตูนไพเรตรายสัปดาห์อย่างThe Zeroของวิบูลย์กิจ และThe Talentของมิตรไมตรี ตังแต่สมัยราคาเล่มละ10บาทจนก่อนจะเลิกไปและเริ่มต้นยุคการ์ตูนลิขสิทธิ์แทนเมื่อช่วงปี2536ก็เล่มละ20-25บาท รู้สึกว่าจะมีเจ้าชายจอมพลัง และก็โดเรมอนฉบับไพเรตเก็บเอาไว้ก่อนจะชั่งกิโลขายไปนานมากแล้วด้วย
ลิขสิทธิ์แรกๆก็ตามการ์ตูนเด็กผู้ชายหัวMagazineของKodansha ในKC.Weeklyมา11-12ปีได้(ก่อนจะเลือกซื้อไปเนื่องจากเกิดภาวะการ์ตูนเฟ้อรออ่านจนดองสะสม) และก็โค(ตร)นานอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนการ์ตูนเด็กผู้ชายของหัวJumpของเครือShueishaในBoomกับC-Kidก็อาศัยของคนอื่นอ่านไปเรื่อยๆ 
ช่วงที่ยังเด็กเรียนหนังสืออยู่ ผมยังไม่ได้บ้าการ์ตูนมากถึงขนาดนี้เลย ซึ่งก็ถือว่าโชคดีครับ เพราะถ้ามีคนมาคอยเลือกและซื้อการ์ตูนมาให้อ่านกันมากกว่านี้ มีหวังไม่เป็นอันเรียนแหงๆครับ แถมช่วงนั้นก็ยังติดVDOเกมFamicomและก็Super Famiconไปมากแล้วเหมือนกัน(แต่ตอนนี้ติดเน็ตแทนแล้วครับเกมไม่ได้เล่นไม่ได้ซื้ออีกต่อไปแล้วแม้กระทั่งเกมออนไลน์ด้วย) แต่ก็โชคดีที่ช่วงป.5-6ครอบครัวผมซื้อการ์ตูนความรู้ลิขสิทธิ์จากGakkenของสำนักพิมพ์ซีเอ็ดยูเคชั่นเป็นชุดกล่องใหญ่2ชุดราคาเกือบ1000บาทได้ เป็นเล่มปกแข็งชุดละ9เล่มได้(ถ้าเป็นราคาในสมัยนี้ถือว่าถูกสุดๆเลยละครับ แต่ในสมัยโน้นถือว่าแพงพอสมควร)
จนเมื่อ2-3ปีมานี่ทำงานได้เงินเก็บมาเหลือเฟือ แถมเวลาว่างก็เยอะ ประกอบร้านเช่าการ์ตูนก็กำลังบูมสุดขีด ก็เลยบ้าซื้อการ์ตูนอ่านกันเป็นว่าเล่นเก็บกระทั่งการ์ตูนผู้หญิงดีๆบางเรื่องที่เนื้อหาสอบผ่านอีกต่างหาก และก็ได้รู้ว่าการ์ตูนถ้ารู้จักคัดเลือกให้ดีมันจะมีคุณค่าพอๆกับหนังสือสาระน้ำดี ไปจนถึงวรรณกรรมชีวิตผจญภัยสุดเข้มข้นต้นแบบชิ้นเยี่ยมเสริมจินตนาการเล่มหนึ่งเลยละครับ

คุยเฟื่องเรื่องเครื่องPrinter,ScannerและCopyในตัวเดียวกัน

ผมไปงานคอมมาร์ทมาเมื่อกลางเดือนมีนา ก่อนงานสัปดาห์หนังสือไม่กี่วัน คิดว่าคงจะไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาแล้วแท้ๆเชียว แต่พอได้ดูเครื่องInkjet Printerซึ่งปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่Printerอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังเป็นเครื่องScanner,เครื่องCopyถ่ายเอกสารและPhotoCaptureอีกด้วย แต่ราคาขั้นต้นอยู่ที่2000บาทต้นๆเองครับ
เทียบกับColour Inkjet Printerตัวเก่าอย่างCanon Colour Bubblejetรุ่นBJC-4310SPซื้อเมื่อปี2542ราคา7000-8000บาทเข้าไปแล้วคนละเรื่องเลยครับ ค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรกลเทคโนโลยีสูงมากจนน่ากลัวจริงๆ ทางบ้านผมเองก็ไม่ได้ใช้เครื่องพิมพ์ตัวเก่ามาตั้งนานแล้ว คาดว่าหัวหมึกคงจะอุดตันไปหมดแล้วละมั๊ง

หลังจากตรวจสอบราคาและก็ความสามารถมาเรียบร้อยแล้วก็เลยถือโอกาสทุ่มทุนประมาณ2390บาทซื้อPrinter All in Oneเครื่องใหม่เป็นยี่ห้อBrotherรุ่นDCP-150C Specของเครื่องก็ตามรายละเอียดนี้ครับ
Print ความเร็วในพิมพ์สี/ขาวดำ 22/27 แผ่นต่อนาที
ความละเอียดการพิมพ์ 1200*6000 dpi.
Copy ความเร็วในการถ่ายเอกสารสี/ขาวดำ 18/20 แผ่นต่อนาที
ความละเอียดสูงสุดในการScan 19200*19200 dpi.
พิมพ์รูปหรือเอกสารโดยตรงจากFlash Driveหรือแผ่นSD Cardได้โดยที่มีช่องให้เสียบโดยเฉพาะโดยไม่ต้องต่อผ่านคอม
ใช้ตลับหมึกของแท้ราคา490บาทสำหรับสีดำ และราคา290บาทแยกตามสีต่างหาก สำหรับสีเหลืองส้ม(Yellow),สีน้ำเงินเข้ม(Cyan)และสีชมพูเข้ม(Magenta) พิมพ์ภาพสีขนาดA4ได้200หน้า

ว่าด้วยราคาตลับหมึกของPrinterแต่ละยี่ห้อผมก็มีข้อมูลเอามาเปรียบเทียบให้อ่านกันด้วยโดยแยกเป็นดังนี้
Canon145 หมึกดำ830ราคาตลับละ710บาทพิมพ์ได้225หน้า หมึกสี831ราคาตลับละ870บาทพิมพ์ได้205หน้า
Hewlette Packard4185 หมึกดำ21ราคาตลับละ550บาทพิมพ์ได้185หน้า หมึกสี22ราคาตลับละ650บาทพิมพ์ได้170หน้า
Epson CX5500 หมึกดำT0911ราคาตลับละ190บาทพิมพ์ได้170หน้า หมึกสีT0912-4ทั้งหมด3ตลับ ตลับละ190บาทพิมพ์ได้200หน้า
ซึ่งถ้าเอามาเทียบกันแล้วตลับหมึกของEpsonราคาถูกสุดรองลงก็Hewlette Packard แพงสุดก็Canon โดยคิดจากราคาตลับหมึกต่อจำนวนหน้าที่พิมพ์ได้ โดยผมไม่มีข้อมูลจากทางยี่ห้อBrotherมาเปรียบเทียบด้วย

นอกจากนี้ผมยังซื้อชุดInk Tankสำหรับใช้เพื่อจะได้ไม่ต้องซื้อตลับหมึกราคาแพงๆโดยแลกกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียประกันเครื่อง2ปี ยี่ห้อInkMediaสำหรับใช้กับตลับหมึกรุ่นLC37พร้อมหมึกในTank4สี สีละ100ml. และยังแถมหมึกเติม4สี4ขวดไว้เติมเพิ่มอีก ราคาทั้งหมดก็1600บาท กะเก็บไว้ใช้หลังจากที่ใช้หมึกตลับแท้จนหมดนั้นแหละครับ โดยหมึกเติมขวดละ100ml.แยกตามสีทั้งหมด4ขวดพิมพ์ภาพสีขนาดA4ได้1500หน้าครับ ชุดหนึ่งก็ราคา544บาท

ทดลองใช้ดูแล้วก็ทึ่งในความสามารถของเครื่องพิมพ์ปัจจุบันจริงๆ ทั้งScanเอกสารหลักฐานส่วนตัวเป็นไฟล์ลงเครื่อง ,พิมพ์ภาพสีจากไฟล์รูปภาพ และถ่ายเอกสารหลักฐานเก็บสำรองไว้ใช้ไม่ต้องไปพึ่งร้านถ่ายเอกสารอีกต่อไป
ตอนนี้ใช้หมึกในตลับแท้หมดไปแล้วทั้ง4สี(แต่จริงๆแล้วหมึกดำเกิดหมดก่อนในขณะที่หมึกสียังไม่หมด เนื่องจากในการพิมพ์ภาพสีนั้นมีการใช้หมึกดำด้วย) พิมพ์ภาพสี+ขาวดำได้ประมาณ250แผ่นได้มั๊ง 
ทดลองใช้Ink Tankก็ดูปกติใช้ได้ดีมากเลยหมดเมื่อไหร่เวลาเติมก็สะดวกละ ถ้าทำตามขั้นตอนในคู่มือรับรองว่าหมึกไม่หยดเลอะเทอะแน่นอน หมึกที่มักจะใช้เยอะสุดคือหมึกเหลืองส้ม(Yellow)ครับรองลงมาก็หมึกดำ ใช้น้อยสุดพอๆกันระหว่างหมึกชมพูเข้ม(Magenta)กับหมึกน้ำเงิน(Cyan)

ราคา2000ต้นๆนี่คือราคาขั้นต่ำสุดของPrinter All in Oneแล้วครับ ไม่แน่ว่าต่อไปPrinter All in Oneที่มีความสามารถในการรับส่งโทรสาร(Fax.Modemส่งทำเวลาได้3วินาทีต่อแผ่น) ,ระบบป้อนกระดาษเพื่อScanหรือCopyถ่ายเอกสารอัตโนมัติสูงสุด35แผ่น ,ระบบเครือข่ายสำหรับใช้ได้หลายๆคนและWirelessไร้สาย ที่มีราคาตั้งแต่8000-12000บาท ในอนาคตราคาอาจจะตกลงอย่างมากจนน่ากลัวไปเลยก็ได้

ส่วนLaser Printerตอนนี้ราคาก็ยังสูงอยู่ประมาณ10000-20000บาท สำหรับความสามารถพิมพ์ ถ่ายเอกสารขาวดำ และScanเอกสารในเครื่องเดียว 
แต่ถ้าเอาเฉพาะพิมพ์ขาวดำอย่างเดียวราคาอยู่ที่4000-9000บาท
และถ้าเป็นพวกColour Laser Printer All in One ราคาจะถีบขึ้นเป็น30000-45000บาทครับ
ตลับผงหมึกที่ใช้ก็มีตั้งแต่1090บาท(พิมพ์ขาวดำได้12000แผ่น หน้าปก5%)ไปจนถึงราคา3490กับ4590บาท(พิมพ์4สีได้4000-5000แผ่น หน้าปก5%)
นอกจากนี้ก็มีตลับแม่พิมพ์(Drum)ราคา9900บาท(พิมพ์4สีได้17000แผ่น)
กับราคา2990-5490บาท(พิมพ์ขาวดำได้12000-25000แผ่น)

ถึงตรงนี้Laser Printerคุ้มค่ากว่าInkjetแค่งานพิมพ์ขาวดำเท่านั้น ส่วนงานพิมพ์สีนั้นInkjetยังถูกกว่าเยอะครับ
ในอนาคตถ้าLaser Printer All in Oneขาวดำและตลับหมึกที่ใช้ ราคาถูกลงมากกว่านี้ ผมอาจจะตัดสินซื้อก็ได้อยู่ครับ เพราะจำนวนงานพิมพ์ต่อราคาตลับหมึกที่ใช้น้อยกว่าInkjetหลายเท่าเลยครับ

ส่วนกระดาษเอาที่ราคาถูกสุดก็คงเป็นกระดาษที่ผลิตโดยบริษัทรีมส์แอนด์โรลส์จำกัด 80/6 หมู่11 ถนนเจริญพัฒนา แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร 10510 โดยมักจะเอามาขายโดยใช้ยี่ห้อของห้างค้าปลีกที่เอามาจัดจำหน่ายทั่วไป เช่นOffice Depot ,First Price(ของห้างBig C) ฯลฯ
แบ่งเป็นกระดาษทั่วไปผลิตจากเยื่อไม้โดยตรงกับกระดาษรีไซเคิลที่ผลิตจากกระดาษที่ใช้แล้วผสมกับเยื่อไม้กับใส่สารฟอกขาวสักหน่อย เพื่อให้ได้กระดาษออกมาขาวสะอาดไม่แพ้กระดาษทั่วไป
แยกเป็นความหนา70แกรมกับ80แกรม(แกรม(Gram)คิดจากน้ำหนักในหน่วยกรัมของกระดาษพื้นที่1ตารางเมตร)

โดยราคากระดาษ1รีมส์(Remes)ที่หาข้อมูลมาได้
กระดาษทั่วไป80แกรม จำนวน500แผ่น ราคา97บาท
กระดาษทั่วไป70แกรม จำนวน500แผ่น ราคา87บาท
กระดาษรีไซเคิล80แกรม จำนวน450แผ่น ราคา79บาท
กระดาษรีไซเคิล70แกรม จำนวน450แผ่น ราคา69บาท

ในที่นี้ผมเลือกใช้เอากระดาษรีไซเคิล80แกรม ซึ่งผิวเนื้อกระดาษอาจจะหยาบด้านกว่ากระดาษDouble A80แกรม ราคา119บาทอยู่นิดหน่อย
แต่ก็สามารถเอามาใช้พิมพ์ภาพสีได้คุณภาพดีไม่ได้ต่างกันเลย
โดยหลังจากพิมพ์ภาพสีกระดาษอาจจะชื้นเป็นลอนเนื่องจากปริมาณที่หมึกที่เข้มมาก แต่ถ้าเอามาตากลมให้แห้งแล้วก็เอามาซ้อนทับกันก็จะเรียบสนิทสวยงามไม่เลอะเทอะเลย

งานคอมมาร์ทที่ผ่านมาผมได้ลองซื้อหมึกเติมยี่ห้อHot Printราคาขวดละ100บาท4ขวด4สี มาสำรองไว้ยังไม่ได้ทดลองเติมเลยยังบอกไม่ได้ว่าสามารถใช้แทนMediaJetที่ราคา4ขวด544บาทนี่ได้หรือไม่
และก็มีกระดาษPhoto Glossy Paper(พิมพ์สีเคลือบพิเศษผิวมันเงา)ขนาดA4ความหนา150แกรม 100แผ่นราคา200บาทยี่ห้อHi-Jet ผลิตโดยบริษัท Hi-Coat(Thailand) จำกัด จำหน่ายโดยบริษัท ปภาวิน จำกัด 88 หมู่4 ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 11130 เป็นราคาที่ถูกที่สุดแล้วสำหรับกระดาษแบบนี้

ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของที่ดินในย่านละแวกบ้านผมเอง

เมื่อ5ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสได้ชมโฉนดที่ดินบ้านผมซึ่งเดิมเคยเอาไปจำนองผ่อนกู้กับธนาคารเอาไว้นานมากๆ ในที่สุดก็สามารถชำระหนี้ธนาคารได้ครบเรียบร้อยแล้วไปไถ่ถอนจากธนาคารได้เมื่อช่วงต้นปีนี่เอง

ละแวกที่ดินบ้านที่ผมอยู่เนื้อที่52ตารางวานี่ เดิมเคยเป็นที่ดินป่าหญ้ารกๆของครอบครัวตระกูลทั่งบุญ ซึ่งต่อมาได้ขายให้กับคุณมงคล พุ่มมณเฑียรชัย เจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรรเมื่อ2 พฤษภาคม 2522 ซึ่งเป็นช่วงที่ถนนรัชดาภิเษกสร้างเสร็จพอดี โดยใช้เวลาก่อสร้างบ้านจัดสรรแถวนั้นประมาณปีครึ่งด้วยกัน 
แรกๆบ้านหลังนี้ถูกขายให้กับสองผัวเมียนายตำรวจคู่หนึ่ง เมื่อวันที่17 ธันวาคม 2523
ก่อนที่จะมาขายต่อให้กับพ่อแม่ผมเองโดยใช้ชื่อคุณยายเป็นเจ้าบ้านไปก่อน เมื่อวันที่13กรกฎาคม 2526(จะเรียกว่าเป็นวันขึ้นบ้านใหม่ของครอบครัวผมก็ว่าได้) เพราะช่วงนั้นสวัสดิการสังคมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของราชการยังไม่พร้อม แรกๆเอาไปจำนองกับธนาคารกรุงเทพ
ต่อมาถึงช่วงปี2532 ก็ได้โอนชื่อมาเป็นของแม่ผมเองและย้ายมาจำนองกับทางธนาคารอาคารสงเคราะห์แทน และก็ผ่อนชำระเรื่อยมาจนหมดหนี้ในที่สุด 
กว่าจะมีบ้านอยู่ได้สักหลังนี่ต้องลำบากมาแสนนาน เลยเข้าใจหัวอกพ่อแม่วัยทำงานช่วงนั้นได้ดีเลยครับ

การเดินทางสัญจรไปมาของกรรมกรกระทู้

การเดินทางไปไหนมาไหนของกรรมกรนั้น ตัวกรรมกรนิยมเดินทางด้วยรถเมล์ร้อนเป็นหลักเนื่องจากว่าค่าโดยสารนั้นถูกมากเพียงเที่ยวละ7บาท แม้ว่าจะต้องเจอกับรถติดซึ่งเป็นปัญหาประจำแต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนักเพราะกรรมกรวางแผนเลี่ยงเส้นทางไว้อย่างดีแล้ว อีกทั้งเวลาที่เสียก็สามารถจัดการได้แค่เพียงพกการ์ตูนไปอ่านเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ
โดยเส้นทางถนนต่อไปนี้ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรจะผ่านเด็ดขาดด้วยประการทั้งปวง ในช่วงเวลาเช้าและเย็นถึงหัวค่ำ
1.อโศกมนตรี
2.เพชรบุรีระหว่างแยกประตูน้ำกับราชเทวี
3.พญาไทช่วงอนุสาวรีย์กับราชเทวี
4.ห้าแยกลาดพร้าว
5.ลาดพร้าวทั้งสาย
6.สาทรทั้งสาย
7.วงเวียนใหญ่
8.สุขุมวิทช่วงตั้งแต่แยกพระโขนงผ่านแยกเอกมัย แยกทองหล่อ แยกอโศก ยาวไปจนถึงเพลินจิตแยกราชประสงค์

รถเมล์ร้อนครีมแดงของขสมก.ซึ่งผมสามารถใช้ตั๋ว7บาทที่ซื้อจากอู่ลดราคา10%และผมใช้บ่อยก็มี
1.สาย136 เป็นสายสุดฮิตที่ผมใช้ขึ้นประจำเพื่อไปยังศูนย์สิริกิต์เวลาไปเที่ยวงานคอมมาร์ทหรือว่างานหนังสือซึ่งจัดกัน2-3ครั้งใน1ปี ไปตลาดนัดจตุจักรเพื่อไปซื้อการ์ตูนมือสองและการ์ตูนใหม่ราคาลด20%ที่JC.สาส์นแถวสะพานควายโดยออกกำลังเดินเท้าไปสักหน่อย
2.สาย137 สายนี้ใช้เดินทางไปแถวบางกะปิ กับตลาดรามคำแหง
3.สาย179 สายนี้ใช้สำหรับเดินทางไปแถวแยกวงศ์สว่าง กับเชิงสะพานพระราม7เพื่อต่อรถเมล์ร้อนแถวนั้นเดินทางตามถนนประชาราษฎร์-สามเสนไปสนามหลวง เทเวศน์ บางลำภู ได้
4.สาย206 สายนี้ใช้สำหรับเดินทางไปซีคอนสแควร์แถวถนนศรีนครินทร์ซึ่งอยู่ไกลไปจากบ้านกรรมกรมากในช่วงที่วิบูลย์กิจจัดงานการ์ตูนของตัวเองที่นั้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมของทุกปี

ส่วนรถเมล์แอร์ที่ผมมักจะใช้เดินทางก็มี
1.สาย73ก. สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปมาบุญครอง ,ตลาดสะพานเหล็ก เยาวราช (ค่าโดยสาร16-18บาท)
2.สาย514 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปสีลม ,ศูนย์Thailand Book Towerกับโรงพยาบาลเซ็นหลุยส์(ลงแถวแยกถนนปั้นแล้วเดินเข้าถนนปั้นไปจากนั้นเลี้ยวซ้ายก็เจอแล้วครับ) ,แยกบางรัก (ค่าโดยสาร16บาท)
3.สาย187 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปแถวตลาดสะพานใหม่ และฟิวเจอร์พาร์ครังสิต (ค่าโดยสาร22บาท)
4.สาย517 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปแถวถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง ซึ่งสามารถต่อรถที่นั้นเพื่อเข้าไปสนามบินสุวรรณภูมิได้

นอกจากนี้ก็มีรถเมล์ร้อนที่กรรมกรชอบใช้เดินทางแม้จะไม่ได้แล่นผ่านแถวบ้านซึ่งก็มี
1.สาย47 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปมาระหว่างตลาดคลองเตย(เดินเท้าสักนิดข้ามแยกพระราม4ก็ถึงศูนย์สิริกิต์แล้ว) ,มาบุญครองสยามสแควร์ ,ย่านร้านขายส่งหนังสือแถวหลานหลวง ,สนามหลวง
2.สาย3 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปมาระหว่างจตุจักรสะพานควาย ,ที่ตั้งค่ายทหารแถวเขตดุสิต ,ศรีย่าน ,เทเวศน์ ,บางลำภู ,สนามหลวง ,วงเวียนใหญ่ตลาดคลองสาน
3.สาย205 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปมาตามถนนพระราม3ช่วงเขตยานนาวากับบางคอแหลม ระหว่างตลาดคลองเตย ,เดอะมอลล์ท่าพระ
4.สาย4 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปมาระหว่างวงเวียนใหญ่ ,ตลาดเยาวราช ,ตลาดคลองเตย
5.จำชื่อสายไม่ได้ ใช้เวลาเดินทางไปมาระหว่างสนามหลวง ,แยกดาวคะนอง ,ตลาดบางปะกอก ,ท่าน้ำพระประแดง
6.สาย12 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปมาระหว่างตลาดห้วยขวาง ,ตลาดดินแดง ในเส้นทางถนนราชสีมา(ผ่านสวนอัมพร) ,ถนนสุโขทัย ,วัดสุทัศน์ฯ ,สวนเจ้าเชตุ
7.สาย45 สายนี้ใช้เวลาเดินทางไปมาระหว่างตลาดคลองเตย ,แยกกล้วยน้ำไท ,แยกอ่อนนุช ,ศูนย์ไบเทคบางนา

สเปคคอมเครื่องที่ใช้อยู่ตอนนี้เทียบกับคอมเครื่องเก่าโบราณอายุ8ปีครึ่ง

- Intel Pentium4 2.66D GHz. Socket775 64bit ประกัน3ปี(เอ... ถ้าPentium5ออกเมื่อไหร่จะยังใช้Socketนี้อยู่หรือเปล่าหว่า มีคนมาบอกต่อว่าCPUรุ่นใหม่จะใช้กับChipsetตัวที่ผมซื้อนี่ไม่ได้ ต้องไปถามพี่ดูสักหน่อย)
- Mainboard ASUS P5GD1-PRO ประกัน3ปี
(สเปคหวังใช้ระยะยาวเลยครับ ช่องเสียบการ์ดPCI3ช่อง ช่องเสียบการ์ดจอPCI Express1ช่อง ช่องเสียบHDD.แบบS-ATA Socket CPU 775 ที่น่าเสียดายก็คือช่องเสียบแค่DDR4ช่อง เพราะแบบช่องเสียบDDR.II ทำให้งบบานเกินฮะ)
- DDR RAM ยี่ห้อKington 256Mb. Bus 400MHz.2แผง 
- Hard Disk ยี่ห้อSeagate ความจุ80Gb. ความเร็วการหมุน7200RPM.(รอบต่อนาที) ช่องเสียบS-ATA ประกัน5ปี
- การ์ดจอ GeForce6200 RAM128Mb./TV out/16X ช่องเสียบPCI Express ประกัน3ปี
- FDD.1.44Mb. / CD-RW Drive 52x32x52 ยี่ห้อLite On ประกัน1ปี
- Case ATX Power Supply350Watt ประกัน1ปี พร้อม Card reader 9in1
เหลือMonitor17นิ้วเครื่องใหม่นี่แหละต้องซื้อใช้แทนเครื่องเก่าที่มัวเต็มที จะเป็นจอFlatหนัก3ลูกแตงโมราคา4000-5000บาท หรือไม่ก็LCD(ถนอมสายตา)หนัก1ลูกแตงโม8000บาทขึ้น ต้องมาตัดสินอีกทีหนึ่งว่าแบบไหนใช้ทนใช้คุ้มกว่ากัน แต่ตอนนี้ต้องขอสะสมทุนใหม่อีกรอบ
ซื้อมาใช้งานตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมปี2548 ใช้งานมา5ปีครึ่งแล้ว
ส่วนเครื่องเก่าอายุ8ปีครึ่งก่อนปลดระวางออกไปตอนที่ซื้อเครื่องใหม่ก็
- Mainboard 4ISA 4PCI 4ช่องเสียบEDO RAM
- EDO RAM4แผง รวมแล้วก็48Mb. (เพิ่มทีหลัง แรกๆให้แค่16Mb.)
- HDD Maxtor ความจุ4Gb. ช่องเสียบIDE (เพิ่มทีหลัง ตอนแรกให้แค่1.2Gb.)
- CD-ROM Drive 8x ยี่ห้อNEC + FDD 1.44Mb.
- Sound card(ISA) + VGA card(PCI)
- Pentium 166MHz.
- ลำโพง2ตัว160Watt.+Mouse+Keyboard+Mouse pad
- Monitor CRT Mag Innovistion 17นิ้ว
- โต๊ะวางคอมพร้อมเก้าอี้1ชุด+อบรมคอมฟรี+เน็ต
ซื้อมาจากสามารถคอมฯตอนนั้นแพงถึง50000กว่า - -" ช่วงต้นปี40ได้ก่อนลอยตัวค่าเงินบาท ทนใช้มาได้ตั้ง8ปีครึ่ง เอ้อ....


งานคอมมาร์ทเมื่อกลางปี2550 ผมถือโอกาสซื้อเครื่องDVD Rewriterยี่ห้อLGที่บู๊ทของLGในราคาเกือบ1200บาท โดยสเปกของมันก็คือใช้ช่องและสายเสียบแบบSata ช่วยให้ส่งผ่านข้อมูลเพื่อทำการไรท์เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น และสามารถพิมพ์ลายลงไปบนแผ่น(LightScribe)ได้ ความเร็วการไรท์สูงสุด15x
โดยผมทดลองไรท์แผ่นDVDข้อมูล4.7Gb. ความเร็ว15xใช้เวลาแค่15-20นาทีเอง มากกว่าไรท์CDธรรมดาไม่มากเท่าไหร่

ต่อมาก็ได้ฤกษ์ซื้อHard Diskตัวใหม่เมื่อช่วงปลายสิงหาปี2550เพิ่มไปด้วย เนื่องจากตัวเก่าเกิดอาการมีเสียงผิดปกติดังเป็นจังหวะๆเกรงถ้าไม่รีบเปลี่ยนหรือแก้ไขอาจส่งผลร้ายต่อไฟล์ข้อมูลมีค่าที่อุตสาห์สะสมมาทั้งหมด ดังนั้นเพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงต่อความเสียหายในข้อมูลจึงต้องรีบซื้อตัวใหม่มาใช้สำรองข้อมูลไปเลย
ในที่สุดก็ได้Hard Diskตัวใหม่ยี่ห้อSeagate ความจุ250Gb. ช่องและสายเสียบSata กับBuffer Memory 8Mb. ราคา2300กว่าบาท เอามาใช้รองรับไฟล์ข้อมูลรวมแล้วตอนนี้กว่า65Gb.ซึ่งก็เกือบจะเต็มของตัวเก่าความจุ80Gb.เข้าไปแล้ว แถมมีปัญหาโหลดช้าเนื่องจากเหลือเนื้อที่ว่างน้อย ซึ่งก็คงจะใช้ได้คุ้มไปอีกนานเลยตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
และวันนี้ผมเพิ่งจะไปรับเอาHard Disk ความจุ80Gb.ตัวใหม่มาใช้แทนที่ตัวเก่าที่เอาไปเปลี่ยนที่ศูนย์Synnex สาขาห้างพันทิพย์

การอัพครั้งหน้าผมกะเอาไว้ว่าอนาคตถ้ามีMainBoard ใช้กับSocket CPU Intelแบบใหม่ที่ดีกว่าSocket775 รองรับDDR3ที่เริ่มมีออกมาให้ยั่วกระเป๋าเงินเล่นแล้ว และมีการพัฒนาSata3ใช้แล้วหรือแม้แต่ช่องเสียบการ์ดจอแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นไปจากช่องเสียบPCI Express ถึงตอนนั้นอาจจะได้ซื้อเครื่องใหม่เลยก็ได้คุ้มแน่นอน แม้ว่าตัวเก่าอาจจะยังใช้ได้อยู่ก็ตาม

ดูสมุดพกเก่าๆแล้วเรานี่สมองเติบโตช้าแถมยังไม้เสียบผีอีกถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน

ไม่น่าเชื่อว่าผมยังเก็บสมุดพกเก่าๆแก่ๆของตัวเองมาตั้งแต่ยังอยู่โรงเรียนปัญจทรัพย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนของคริสตจักรมิชชันนารีใกล้ๆคลองบางซื่อ ถนนรัชดาภิเษกฝั่งดินแดง ก็ใกล้บ้านผมแค่เดินไป10-15นาทีก็ถึงแล้ว ปัจจุบันมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน(สถานีรัชดาภิเษก)อยู่ใกล้ด้วย เด็กสมัยนี้เลยมาโรงเรียนได้สะดวกขึ้นเยอะ
จริงๆผมไม่ได้เก็บไว้แต่แรกหรอก แต่มันสุมอยู่ในมุมมืดส่วนไหนของบ้านก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อไม่กี่ปีนี่พอผมเจอเข้าก็เลยถือโอกาสเก็บรวมๆไว้กับแฟ้มเก็บเอกสารสำคัญๆของผมเองซะเลย
สมุดพกที่ผมเก็บไว้ก็มีตั้งแต่ชั้นอนุบาล2ไปจนถึงป.6 รวม7เล่มด้วยกัน ตั้งแต่ปีการศึกษา2527-2533 ข้อมูลที่เก็บไว้ก็มีบันทึกการฉีดวัคซีน น้ำหนักส่วนสูง สถิติจำนวนวันการมาเรียน มาสาย ลาป่วย ลากิจ ขาดเรียนในแต่ละเดือน
ซึ่งพอจะสรุปคร่าวได้ว่า
1.ส่วนสูงผมเติบโตอยู่ระหว่าง106-136.5 ซม. ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเด็กโดยทั่วไปเมื่อตอนนั้น เนื่องจากช่วงที่เข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติเรียงลำดับไหล่ทีไร ผมมักจะอยู่หางแถวประจำเลยครับ
2.น้ำหนักผมขึ้นอย่างช้าๆที่15-25 กก.ซึ่งถ้าเอาน้ำหนัก(กก.)มาหารด้วยกำลังสองของส่วนสูง(เมตร)ก็จะได้ค่าดัชนีที่13-14หน่วย ซึ่งถือว่าอยู่ในภาวะLoseweightเบากว่ามาตรฐานอยู่พอสมควรครับ มาตรฐานปกติประมาณสัก17-18ได้
3.ตั้งแต่อนุบาล2จนถึงป.3เทอมต้นผมได้เกรดวิชาเลขที่0-1ตลอดเลย แต่พอเข้าเทอมปลายป.3ผมได้เกรด4และก็เป็นอย่างนั้นเรื่อยมาจนจบประถม ประมาณปัญญาการคำนวณเริ่มเข้าที่เมื่อตอนนั้นนี่เอง
4.ส่วนวิชาอื่นๆอย่างพวกภาษาไทย ,อังกฤษ ,สปช. ,สลน. ,กพอ. ก็ขึ้นๆลงๆที่เกรด1-2 พอขึ้นป.4ก็ไปขึ้นลงที่เกรด2-4 มีอังกฤษวิชาเดียวขึ้นไปถึงเกรด4
5.เรื่องของพฤติกรรมช่วงนั้นจนถึงตอนนี้ผมก็ยังแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยนั้นก็คือ ผมไม่ค่อยชอบเข้าสังคมการเล่นกับเพื่อนฝูง รวมถึงการพูดคุยปฏิสัมพันธ์ซึ่งคงเป็นเพราะผมพอใจในชีวิตที่แสวงหาความสุข ความสนุกโดยไม่ต้องอาศัยเพื่อนสนิทมิตรสหายมาจนถึงตอนนี้ เวลาจะต้องทำงานร่วมกันกับเพื่อนเลยเจอปัญหาไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
6.ลายมือผมไก่เขี่ยแบบสุดๆ แถมผมยังติดนิสัยการจับปากกาที่ผิดจากชาวบ้านเขาคือเอานิ้วนางมาจับประคองด้วยรวมเป็น4นิ้วซึ่งปกติใช้แค่นิ้วกลางก็พอ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังเป็นอยู่เลยครับ ลายมือผมในตอนนี้ดีกว่าแรกๆเยอะ แต่ใช้เวลาเขียนกว่าจะจบก็นานเอาเหมือนกันแถมยังทำเอานิ้วเมื่อยอีกต่างหาก(น่าจะต้องบริหารนิ้วอยู่เหมือนกัน)

ยังไม่หมดครับยังสมุดพกเมื่อสมัยม.ต้น(รบ.4-ต)ด้วยครับมาถึงตรงนี้ผมได้เกรด3-4เกือบทุกวิชาเลยครับจะมี2ก็ภาษาไทยกับสุขศึกษานี่แหละ เกรดเฉลี่ยของม.ต้นรวมแล้วก็3.52ครับ เลขผมก็ยังคงได้เกรด4เรื่อยมา ส่วนวิทยาศาสตร์นั้นม.1ได้เกรด3 พอขึ้นม.2ปัญญาเริ่มเข้าที่ครับผมได้4ตั้งแต่นั้นมา
ยังดีที่ตอนนั้นวงการเกมกับการ์ตูนบ้านเรายังไม่เจริญมากมายเหมือนตอนนี้ ถ้าผมมาเกิดช้ากว่านี้สัก10ปีละก็ผมอาจจะไม่ใช่คนบ้าสาระและภูมิปัญญาเหมือนในตอนนี้ก็ได้นะครับ


คราวนี้มาว่ากันในเรื่องของน้ำหนักส่วนสูงกันมั่ง ปัจจุบันนี้ก็อย่างที่เห็นนั้นละครับ
สูง : 171 ซม.
หนัก : 55 กก.
ถ้าคิดค่าดัชนีความหนาของร่างกายจาก น้ำหนัก(กิโลกรัม)/ส่วนสูง2(เมตร2)ก็ได้มา18.8 ซึ่งอยู่ในภาวะที่เรียกว่าLose weightหรือผอมกว่ามาตรฐานนั้นละครับ ถ้าจะให้รูปร่างพอดีก็ต้อง20ขึ้นไปมั๊ง
ทำให้นึกถึงเมื่อสมัยทดสอบเข้าเรียนนักศึกษาวิชาทหารตอนเรียนม.ปลาย ตอนนั้นผมหนักแค่41-42ได้มั๊ง แต่มาตรฐานเขากำหนดไว้ที่44 เลยมีการแอบยัดก้อนหินใส่กระเป๋าถ่วงเพิ่มเข้าไปก็เลยอนุโลมให้ผ่านได้ แถมทดสอบวิ่ง800เมตรในเวลา2นาทีครึ่งผ่านไปอย่างไม่น่าเชื่อด้วยลมหายใจกับอุณหภูมิในร่างกายสูงเกือบเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้
นับจากนั้นมาจนถึงตอนนี้ น้ำหนักผมก็ไม่ได้ขึ้นมากเท่าไหร่นัก แต่ก็ดีตรงที่เวลาเดินไปไหนมาไหนนี่คล่องตัวเร็วปรู๊ดสุดๆเลยครับ
ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะผมทานน้อยพออิ่มกลัวเปลืองตังค์ หรือว่าทานแล้วสารอาหารมันไม่ค่อยถูกดูดซึมไปใช้มากเลยออกมากับของเสียซะเยอะ หรือเพราะผมออกกำลังโดยการเดินเร็วๆร่อนไปร่อนมาประจำวันกันแน่นะ
ขนมที่ผมชอบกินประจำวันตามใจปากในบางครั้ง แต่ไม่บ่อยเพราะไม่ทำให้ท้องอิ่มคุ้มกับเงินที่เสียไป แถมยังได้รับสารอาหารไม่ครบอีกต่างหาก ก็มีมันฝรั่งทอดกรอบรสบาบีคิว ไอศกรีมวานิลลาช็อกโกแลต และก็คอร์นเนตโตซุเปอร์ นั้นละ ส่วนอาหารหลักที่ผมกินก็อ่านได้จากBlogก่อนๆนะครับ

ชาตินี้กรรมกรกระทู้อย่างเราจะมีครอบครัวไหมเนี่ย

ไม่ทราบเหมือนกันว่าถ้าผมจั่วหัวข้อBlogแบบนี้แล้วจะมีคนหลงเข้ามาอ่านเยอะกว่าปกติหรือเปล่าไม่รู้
แต่ที่แน่ๆก็คือผมถูกแม่ถามถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครับ ว่า

เมื่อไหร่จะมีเนื้อคู่เป็นตัวเป็นตนสักที

น่าจะทำความรู้จักกับสาวร่วมรุ่นคณะเดียวกันสักหน่อยเผื่อจะได้เพื่อนไปเที่ยวเข้าสังคมเปิดหูเปิดตาไปโลกข้างนอกบ้าง เน็ตจะได้เลิกสักที

บ้าแต่การ์ตูนกับเน็ตอย่างนี้แล้วชีวิตมันจะเจริญขึ้นได้ยังไง


ผมเพิ่งจะอ่านไทยรัฐฉบับเมื่อวานคอลัมป์สกู๊ปหน้า1พบว่าในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เด็ก3ขวบขึ้นไปมีพัฒนาการล่าช้าไม่สมวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมอง สติปัญญา
พอเข้าสู่วัยเรียนสิ่งแวดล้อมในบ้านไม่ได้กระตุ้นพัฒนาการของเด็กให้เหมาะสม เนื่องจากผู้เลี้ยงมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กค่อนข้างน้อย
เด็กส่วนใหญ่ใช้เวลาหมดไปกับการบ้าน เรียนพิเศษ เวลาว่างก็ทีวี วิดิโอเกม เกมออนไลน์ สุดท้ายเชาวน์ปัญญาของเด็กวัยเรียนลดลงอย่างน่าตกใจ พ่อมีบทบาทการเลี้ยงดูน้อยมากเพียง1.2%
พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเป็นเด็กดีเรียนหนังสือเก่ง จบสูงๆมีการงานดีคิดเพียงว่าทำงานเก็บเงินให้ลูกเรียนจะเป็นวิธีบรรลุความหวัง แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องการเรียนของลูก เอาแต่เน้นการเลี้ยงดุ กินอยู่หลับนอน แต่ขาดการส่งเสริมทางปัญญา ไม่ได้ส่งเสริมการอ่าน ส่วนใหญ่เปิดทีวีให้เด็กดู แล้วยกเรื่องการเรียนรู้ให้เป็นหน้าที่ของครูและโรงเรียน
ต่อมาผู้เลี้ยงดูมักแสดงความรักต่อเด็กเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เด็กเมื่อโตขึ้นพ่อแม่ก็จะชมเชยลูกน้อยลง และเพิ่มการสั่งสอนว่ากล่าวตักเตือนมากขึ้น
สังคมกับสมองของเด็กเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการเหมือนกัน จะต่างกันก็เพียงโอกาส ปัจจุบันสังคมคนส่วนน้อยมีโอกาสพัฒนาสมอง เข้าถึงข้อมูลความรู้ได้มากกว่า แสวงหาผลประโยชน์อยู่รอดในสถานะที่ดีกว่า ก่อให้เกิดความแตกต่างขึ้น
ปัญหาความยากจน ไม่เท่าเทียมในฐานะ ก่อให้เกิดความเครียดรุนแรงนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มต่างๆในสังคม ภาวะการพัฒนาสมองก็เช่นกัน ถ้าไม่สมดุลเซลล์สมองจะเป็นปรปักษ์ เกิดการทำลายกันและกัน
การแก้ปัญหาก็คือต้องเพิ่มศักยภาพของสมองเด็กและเยาวชนไทยให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อการเรียนรู้ วางรากฐานกำหนดนโยบายกันแบบระยะยาว ก่อนจะสายเกินไป

ผมอ่านแล้วย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองว่า เราพร้อมจะมีเนื้อคู่ ครอบครัว และมีลูกไว้สืบสกุล แล้วหรือยัง
เพราะนั้นหมายถึงว่าเราไม่มีเวลามาบ้าเล่นเน็ตแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างที่ทำเป็นเล่นเป็นงานอดิเรกจะต้องลดลงไปอย่างมากหรืออาจจะต้องยุติไปเลย รวมถึงบทบาทการเป็นกรรมกรกระทู้ด้วย 
การเลี้ยงดูลูกถือเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อน ต้องสูญเสียทั้งเวลา สละความชอบความสนุกส่วนตัวมาทุ่มเทอย่างถึงที่สุดเท่านั้น เราจึงจะได้ลูกที่มีคุณภาพ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะวางแผนเวลาชีวิตตัวเองไว้ในรูปแบบไหนกัน

แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนออกทะเลสาระไปไกลอีกแล้วฉัน เอาแค่ว่าชาตินี้เราจะหาสาวที่ไหนสักคนมาแอ้มได้ไหมละ ผับบาร์คาราโอเกะอะไรนั้นผมไม่สนอยู่แล้ว นอกเหนือจากนั้นผมจะไปจากไหนละ จากเน็ต? ที่ทำงาน? ร้านหนังสือ? ร้านการ์ตูน? แล้วมันจะไปเจอเหรอ? ประเภทที่เพลงสัญชาตญาณบอกนั้นนะ ผมยังไม่เจอเลยสักคนหนึ่ง
แถมเวลาเดินทางไปไหนต่อไหน ผมมักมีนิสัยชอบเดินเร็วแซงชาวบ้านแบบสุดๆ สายตามองอยู่แค่เส้นทางข้างหน้า เวลาขึ้นบันไดสะพานลอยก็วิ่งก้าวขึ้นไปทีละสองขั้นเพราะคนข้างหน้าเดินกันเชื่องช้าซะเหลือเกิน แล้วใครหน้าไหนจะมาสนใจเรามั่งละฟ่ะ 
เรามันก็ไม่เหมือนชาวบ้าน หน้าตาก็ไม่หล่อเอาซะเลยแถมยังขี้เกียจโกนหนวดหวีผมอีก ไม่ทำหน้าตาให้ดีๆแล้วใครเขาจะหันมาสนใจอีกละ

เอาเป็นว่าสาวคนไหนก็ได้มีการมีงานทำแล้ว ทำอาหารเก่ง งานบ้านงานเรือนแจ๋ว ถ้าอ่านเนื้อหาทั้งหมดในWeblogของผมแล้วถูกใจขึ้นมาละก็ จะติดต่อขอทำความรู้จักกับเบอร์มือถือผมก็ได้นะครับ มีอมยิ้มพันทิปเป็นตัวเป็นตนก็ดีฮะจะได้ส่งหลังไมค์สะดวก เผื่อว่าผมจะปรับปรุงตัวเองให้มันดีขึ้นกว่านี้ ให้เป็นพ่อที่เลี้ยงดูลูกให้เจริญและมีคุณภาพอย่างที่ต้องการ
โดยเฉพาะถ้าจบทางด้านวิทยาศาสตร์อาหาร(Food Science)ละก็ อันนั้นเข้าขั้นอุดมคติในใจผมเลยละครับ แหะๆ...
ขอบคุณที่เสียสละเวลามาอ่านBlogไร้สาระเรื่อยเปื่อย(หรือเปล่าหว่า?)ของผมนะครับ

ต้นตระกูลบรรพชนของกรรมกรกระทู้

วันนี้ผมมาเผยข้อมูลเล็กๆน้อยๆเท่าที่พอจะเผยได้ของต้นตระกูลบรรพชนของผมครับ
เริ่มกันที่สายพ่อของผมก่อน พ่อของผมนั้นเดิมมีบ้านเกิดอยู่แถวซัวเถา มณฑลกวางตุ้งโดยเป็นชาวจีนอพยพมาตั้งแต่เมื่อท่านยังอายุแค่10ขวบพร้อมๆกับอาก๋ง(ปู่)อาศัยอยู่แถวบ้านเกิดที่อุทัยธานี โดยอาม้า(ย่า)บังเกิดเกล้านั้นท่านได้เสียไปก่อนจะอพยพไปนานแล้วและศพก็ฝังอยู่ที่บ้านเกิดนั้นแต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถชี้จุดเดิมซึ่งเป็นที่ฝังศพของอาม้าได้เนื่องจากการปฏิวัติศิลปะัวัฒนธรรมของจีนเมื่อสมัยท่านประธานเหมาเจ๋อตุงได้ทำลายศาลเจ้า ป้ายหลุมศพบรรพชนซะสิ้น
นอกจากนี้พ่อผมยังมีอาแปะ(ลุง)ที่อายุมากกว่าพ่อผมเกือบ10ปีด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันยังคงยึดถิ่นฐานพำนักอยู่ที่เมืองวูฮั่น โดยคาดว่าญาติท่านอื่นๆของอาก๋งคงอาสารับเลี้ยงดูแทนท่านไป และไม่ได้เจอหน้ากันมานานมากถึง40ปีเห็นจะได้ กว่าจะได้เจอหน้ากันก็เมื่อเกือบ10ปีที่แล้วนี่เองซึ่งอาแปะท่านก็เกษียณอายุไปก่อนแล้วจึงมีเวลาและเงินทองมากพอจะมาเที่ยวเมืองไทยพร้อมๆกับอาอึ้ม(ป้าสะใภ้)เพื่อมาเจอหน้าพ่อผมสักครั้งซึ่งก็เป็นน่ายินดีแทนพวกท่านไปละครับ พอจะพูดคุยกันรู้เรื่องจากภาษาจีนแต้จิ๋วนะ
กลับเข้าเรื่องกันต่อ อาก๋งเมื่ออพยพมาอยู่เมืองไทยแล้วท่านก็ได้แต่งงานใหม่กับชาวจีนคนหนึ่งและรับอุปการะลูกบุญธรรมอายุมากกว่าพ่อผมเกือบ20ปี และเป็นชาวจีนเช่นกันคนหนึ่งไปด้วย ต่อมาเมื่ออาก๋ง อาม้าบุญธรรมเสียไป ลูกเลี้ยงคนนั้นก็รับอุปการะพ่อผมและรับเป็นอาแปะบุญธรรมไป พร้อมกับอี้หมวย(น้องสาวของอาม้าบุญธรรม)ก็ช่วยรับเลี้ยงดูต่อไปเช่นกัน
พ่อผมเรียนจบปวส.ช่างกล ปทุมวัน แล้วทำงานในสายงานถนัดของท่าน ปัจจุบันทำงานเป็นช่างเทคนิคอาวุโสในบริษัทรับเหมาก่อสร้างของสถาปนิกมือหนึ่งแห่งวงการสถาปัตยกรรมท่านหนึ่ง โดยถึงแม้พ่อผมจะแซยิดไปแล้วแต่ประธานบริษัทก็ยังคงให้ทำงานต่อไปจนถึงวัย65 จนป่านนี้เพิ่งจะทำเรื่องโอนสัญชาติมาเป็นไทยอยู่เลยครับ

มาถึงสายของคุณแม่บ้าง แม่ผมเกิดในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่2ใกล้จะยุติพอดี โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านไม้เล็กๆใกล้กับตลาดสดริมแม่น้ำสะแกกรังของตัวเมืองอุทัยธานี 
โดยคุณตานั้นมีรากฐานบรรพชนเดิมเป็นบ่าวไพร่ผู้รับใช้ท่านขุนผู้หนึ่งแถวๆอ.ลาดยาว นครสวรรค์ ซึ่งต่อมาก็ได้ใช้นามสกุลตามชื่อของท่านขุนไปด้วย แต่คุณตาซึ่งจบมาทำงานเป็นทนายความเห็นว่าไม่เป็นมงคลก็เลยเปลี่ยนนามสกุลซะใหม่เป็นที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ และผมก็ใช้นามสกุลตามของแม่ไป
ส่วนคุณยายนั้นก็เป็นลูกหลานของชาวจีนไหหลำที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่ริมแม่น้ำใกล้ๆอำเภอบางปลาม้า สุพรรณบุรี ทำงานเป็นครูในโรงเรียนเล็กๆประจำชนบท
ในสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลมีนโยบายให้คนไทยในสมัยนั้นมีลูกมีครอบครัวกันแบบขยาย เนื่องจากประเทศไทยเมื่อตอนนั้นมีจำนวนประชากรที่จะมาช่วยพัฒนาบ้านเมืองน้อยมากเมื่อเทียบชนชาติที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดียเมื่อสมัยนั้น เพราะเรามีประชากรแค่10-20ล้านเท่านั้นเอง ส่งผลให้ช่วงตั้งแต่ปีพ.ศ.2485 - 2500 ทั้งคุณตาและคุณยายต่างก็มีลูกเป็นคุณป้าคุณน้ารวมแล้วก็6คนด้วยกัน โดยคุณแม่ผมนั้นเป็นคนที่2
ต่อมาหลังจากที่คุณน้าคนสุดท้องถือกำเนิดได้ไม่นาน คุณตาก็ได้ซื้อบ้านไม้หลังใหม่ซึ่งก็คือบ้านเกิดเดิมของผมหลังปัจจุบันที่ผมกล่าวไว้ในBlogก่อนๆแล้ว นับอายุของบ้านมาก็เกือบ50ปีแล้วครับ
หลังจากนั้นไม่กี่ปีคุณตาก็เริ่มเข้าสู่สนามการเมืองโดยการลงสมัครเป็นสส.เมืองอุทัยธานี ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แล้วได้รับเลือกตั้งเข้ามาในสภาอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะถูกทำรัฐประหารยุบสภาไปตามธรรมเนียม แต่ก็ยังคงทำงานในสายงานเดิมของท่านตราบจนเกษียณอายุ และใช้ชีวิตอย่างสงบจนเสียไปด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่เมื่อผมวัยได้แค่2-3ขวบเท่านั้นเอง เหลือคุณยายที่ยังคงแข็งแรงดีอยู่จนเสียไปเมื่อปลายปี46ที่ผ่านมา ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
โดยคุณแม่ผมเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี มศว.ประสานมิตร แล้วเริ่มงานเป็นอาจาร์ยในโรงเรียนแถวอำเภอหนองฉาง อุทัยธานี ก่อนจะย้ายมาสอนวิชาพระพุทธศาสนา อยู่โรงเรียนกุนนทีฯแถวรัชดาห้วยขวางจนปลดเกษียณตัวเองก่อนกำหนดไปเมื่อปีที่แล้วนี่ ใช้ชีวิตอย่างสงบของแม่บ้านผู้ดูแลสั่งสอนลูกๆวัยทำงานอย่างผมนี่ละ

มาถึงชีวิตครอบครัวของท่านบ้าง หลังจากที่ท่านแต่งงานกันเมื่อสักปี2519ได้ ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่วุ่นวายจากการปราบปรามคอมมิวนิสต์ พี่ชายผมเกิดก่อนและเติบโตอยู่ที่บ้านเกิดที่อุทัย จากนั้นพอผมเกิดก็ได้ย้ายมาอยู่บ้านทาวน์เฮาส์เล็กๆที่ซื้อไว้ในซอยแคบๆแถวตลาดแฟลตดินแดง ก่อนจะขายทิ้งและกู้เงินไปซื้อบ้านหลังปัจจุบันที่กล่าวไว้ในBlogก่อนๆโดยไปอาศัยค้างบ้านทาวน์เฮาส์3ชั้นของน้าแถวซอยสุทธิพร ถนนประชาสงเคราะห์ก่อนจะย้ายไปอยู่จริงอีกทีหนึ่ง

ก็จบเท่านี้ละครับเกี่ยวกับเรื่องบรรพชนของผม

อาหารการกินของกรรมกรกระทู้

ในช่วงเช้าวันธรรมดานี่ตอนเช้าถ้าไม่มีแม่ช่วยทำให้ ผมก็คงต้องออกไปกินข้างนอกละครับ อาหารที่แม่ทำตอนเช้าก็มักจะเป็นไข่เจียวผสมแครอทหรือไม่ก็ถั่วฝักยาวหั่นเป็นชิ้น และก็อาหารจืดๆอย่างแกงจืดเต้าหู้ จับฉ่าย 
ช่วงเช้านี่ไม่ควรกินอาหารที่มีรสชาติเผ็ดร้อน เนื่องจากช่วงเวลาตรงนี้เราไม่ควรจะเรียกเหงื่อก่อนที่จะได้ทำงาน
มาถึงมื้อกลางวันผมชอบไปกินที่โรงอาหารอาคารวิทยกิตติ์ ซึ่งก็หนีไม่พ้นเมนูสิ้นคิดอย่างข้าวราดผัดกะเพราใข่ดาวนั้นละครับ จานละ16บาท บางครั้งผมก็ไปสั่งข้าวผัดไข่ไม่ใส่ผักใส่แต่ผักชี แตงกวา ต้นหอม ครับจานละ20บาทแถวโรงอาหารของโรงพยาบาลตำรวจนั้นละ
พอตกค่ำกลับถึงบ้านก็แล้วแต่แม่ละครับว่าจะทำอาหารอะไรให้กินเหลือทิ้งไว้ให้ ถ้าไม่มีอะไรกินก็ยังมีแผงลอยขายผัดไทยแถวปากซอยให้สั่งห่อละ20บาทไปกินที่บ้านก็ได้ หาเงินได้เองแล้วนิ

ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ช่วงมื้อเที่ยงก็อาหารยอดฮิตของคนถังแตก มาม่านั้นเองละครับ ผมชอบรสต้มยำกุ้งน้ำข้น กินทีไรถ่ายออกมาปวดแสบปวดร้อนทุกทีสิน่า
ส่วนมื้อเย็นช่วงวันหยุดอันนี้ได้มีโอกาสเจอหน้ากันทั้งครอบครัวพ่อแม่ลูก ก็มักจะไปกินข้าวนอกบ้านกันโดยส่วนใหญ่มักจะไปกินที่ศูนย์อาหารพุงกาง ห้างคาร์ฟูร์รัชดานั้นเองครับ 
อาหารที่ผมชอบไปสั่งกินก็มีข้าวหมู-เนื้อเกาหลีจานละ30บาทของร้านสกายลาร์ค ,ก๋วยเตี๋ยวเรือเส้นเล็ก ลูกชิ้นเนื้อจานละ20บาทร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา หรือไม่ก็ข้าวหมูย่างราดน้ำจิ้มจานละ25บาทร้านข้าวมันไก่ ส่วนตัวพ่อแม่ก็ชอบสั่งข้าวแดงต้มกินกับผัดผักทั้งหลายเช่น ซีเซ็กฉ่าย จับฉ่าย ฯลฯ นอกจากนี้ก็มีหมูผัดรสเค็ม(เขาเรียกว่าอะไรหว่า) ถ้ากินที่นี่รวมกัน3คนมื้อหนึ่งยังไม่ถึง150บาทเลยครับ
มาถึงของหวานของโปรดก็หนีไม่พ้นไอศกรีมช็อกโกแลตชิป2ลูกใหญ่ๆ ถ้วยละ15บาท นุ่มหวานใช้ได้
มื้อเย็นนอกบ้านมีหลายหนไปกินข้าวเหนียวไก่ย่าง ส้มตำ หมูน้ำตก ยำปลาดุกฟู กันที่ร้านลาบอุดรโภชนา ใกล้ๆบิ๊กซีวงศ์สว่างนั้นละ ไก่ย่างข้าวเหนียวจิ้มแจ่วรสชาติอร่อยร้อนแรงกำลังดีเลย
แต่เมื่อ10กว่าปีก่อนเราเคยกินข้าวสวย กับหมูกรอบ จับฉ่าย ต้มยำกุ้ง และผัดหอยลาย ที่ร้านแถวตลาดสดแฟลตดินแดงในตอนนั้นผมซึ่งไม่ชอบผักเลยเมื่อได้กินจับฉ่ายก็ทำให้รู้สึกว่าอร่อยจนทานเข้าไปเท่าไหร่ก็ได้ เป็นต้มผักที่ผมชอบที่สุดในบรรดาต้มผักทั้งหมด ถ้าจะต้องทำตามสโลแกนผักครึ่งหนึ่งอย่างอื่นครึ่งหนึ่งเนี่ย ต้องมีจับฉ่ายอยู่ในเมนูแน่นอน

อาหารที่ว่ามานี่เนื่องจากผมมิใช่นักชิมจึงไม่อาจพรรณนารสชาติมาให้ท่านผู้อ่านเข้าใจได้ และที่ผ่านมาผมและครอบครัวแทบไม่เคยเปลี่ยนแนวการกินหันไปกินอาหารอย่างพวกบุฟเฟ่หมูกระทะ ภัตตาคารอาหารชั้นนำ หรือแม้แต่ฟาสต์ฟู้ด ฯลฯ กันสักเท่าไหร่เนื่องจากค่าใช้จ่ายอาหารพวกนี้ค่อนข้างแพง และรสชาติมักจะไม่หนีห่างกันสักเท่าไหร่
ซึ่งมาถึงตอนนี้ผมเองอยากจะเปลี่ยนที่กินนอกบ้านนอกเหนือจากที่กินมานี่เหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าสั่งมาแล้วจะกินอะไรไม่ได้สักกะอย่างนี่สิ คงต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนในโต๊ะจตุจักรสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน

มุมมองขอบข่ายลำดับการเรียนรู้ของกรรมกรกระทู้

การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุดตราบใดที่เรายังมีชีวิตเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอยู่
คำกล่าวนี้ยังเป็นจริงเสมอ เพราะเราเกิดมีความไม่รู้(อวิชชา)อยู่กับตัว ทำให้เกิดความคิดปรุงแต่ง(สังขาร)นำไปสู่ความรู้สึก(วิญญาณ) เกิดทางแห่งการเรียนรู้เพื่อขจัดความไม่รู้อย่าง(สฬายตนะ(สฬ+อายตนะ))ได้สัมผัส(ผัสสะ)เกิดเวทนา ตามด้วยความอยาก(ตัณหา) ก่อเกิดอุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ
ทั้งหมดนี้คือปฏิจสมุทบาท วงจรการเวียนว่ายตายเกิดที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ วิชาการต่างๆที่เราเรียนรู้มานั้นก็เป็นส่วนหนึ่งกฏเกณฑ์แห่งธรรมชาติที่ศาสนาพุทธเข้ามามีเอี่ยวได้เช่นกัน

ช่วงที่ผมยังเป็นเด็กอยู่นั้น ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนอาจจะเพราะว่าเมื่อเรายังเด็กคงจะสงสัยอยู่ว่า เราจะเรียนรู้ไปเพื่ออะไร ก็มันไม่เห็นจะสนุกเหมือนการเล่นเกม ดูการ์ตูนหรืออย่างอื่นตรงไหนเลย
เพราะแบบนั้นมั๊งผมถึงเรียนได้คะแนนไม่ดีเอาซะเลยในช่วงป.1-3 ปี2531เมื่อผมขึ้นป.4 ผมได้อ่านหนังสือการ์ตูนความรู้ของซีเอ็ดยูเคชั่น ลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์Gakken ซึ่งแม่ซื้อมาให้2ชุดใหญ่ชุดละ9เล่มรวมแล้วก็18เล่มด้วยกัน ทำให้ผมรู้ว่าการเรียนรู้นั้นสามารถทำให้มันเป็นเรื่องสนุกและน่าติดตามได้เหมือนการ์ตูนหลายๆเรื่องที่มีให้อ่านในตอนนี้เหมือนกัน ทำให้ผมเริ่มหันมาสนใจการเรียนมากขึ้น
โดยเฉพาะคณิตศาสตร์เพียงแค่ใช้ความเข้าใจเพียงนิดเดียวก็สามารถทำโจทย์ออกมาได้อย่างสบายๆแล้วครับ วิชานี้เราเอามาใช้ในคำนวณตัวเลขบัญชีการเงินในองค์กรธุรกิจซึ่งคอยเลี้ยงชีพเรา
ส่วนภาษาไทย สังคมนั้นคะแนนออกมาไม่ดีเท่าไหร่แต่ในช่วงหลังเมื่อไม่นานมานี่เมื่อได้ลองอ่านหนังสือตีแผ่ประวัติศาสตร์โดยเฉพาะนิตยสารต่วยตูนมันก็ทำให้ผมหันมาสนใจศาสตร์พวกนี้ได้เช่นกัน รวมไปถึงศาสตร์วัฒนธรรมซึ่งเป็นรากเหง้าของสังคมและประวัติศาสตร์ด้วย เพราะประวัติศาสตร์ต้องดำเนินภายใต้กฏเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ศาสนา จิตวิทยาความสัมพันธ์ เศรษฐกิจ ฯลฯ ทุกอย่างล้วนแต่มีความเกี่ยวพันกันหมดแยกกันมิได้เลย
ต่อมาพูดถึงวิทยาศาสตร์มั่ง เราเริ่มเรียนกันจริงๆก็ประมาณ ป.5 ช่วงนั้นผมไม่ค่อยสนใจมันสักเท่าไหร่มาสนใจจริงจังก็ตอนม.2 ช่วงนั้นผมได้คะแนนวิทยาศาสตร์ดีมากเลย คาดว่าผมคงได้อิทธิพลจากการ์ตูนความรู้วิทยาศาสตร์อยู่พอสมควรเหมือนกันเลย 
พอได้เรียนฟิสิกส์ เคมี และชีวะได้คล่องเลยเมื่อเข้าเรียนในม.ปลาย ช่วงนี้แม่ผมเริ่มซื้อหนังสือคู่มือเตรียมสอบมากมายซึ่งผมก็ได้ฟรีจากโปรโมชั่นการนำชีทข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของโรงเรียนแยกตามระดับชั้น สถานศึกษา ปีการศึกษาเป็นชุดๆ ไปแลกหนังสือกับอาจาร์ยที่ศูนย์แอพพลายฟิสิกส์ซึ่งมีคู่มือเตรียมสอบหลายวิชาของสำนักพิมพ์ไฮเอ็ดออกขายหลายเล่มเลย ซึ่งผมก็ได้ข้อสอบจากโรงเรียนคุณแม่และของโรงเรียนผมเองไปแลกได้หนังสือมาหลายเล่มเลย ผมก็เลยกลายเป็นคนบ้าสะสมหนังสือสาระนับแต่นั้นมา
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้ผมเริ่มบ้าซื้อสะสมหนังสือสาระอุดมปัญญา โดยเฉพาะหนังสือของรีดเดอร์ไดเจสท์ราคาเล่มละเป็นพันขึ้นนับถึงตอนนี้ก็10เล่มขึ้นไปแล้วครับ เนื้อหาก็หลากหลายกันไป
หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผมเพิ่งหันมาสนใจในเรื่องนี้เมื่อเห็นว่าเราเองก็อยากจะรวยล้นฟ้า มีเงินใช้ซื้อโน่นซื้อนี่ได้ แน่นอนมันก็ต้องเอาไปลงทุนสิ ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สิง่ายสุดแล้ว ได้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี๊ยในธนาคารซะอีก แต่มันไม่ง่ายยังงั้นนะสิ เพราะถ้าเกิดผิดพลาดธุรกิจล้มขึ้นมาเงินที่เราลงไว้ก็จะสูญหายไปทั้งหมด จะลงทุนอะไรต้องมีหลักการโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐศาสตร์ การบริหารธุรกิจ บัญชีพาณิชย์ เข้ามามีเอี่ยวจนได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็น่าเรียนรู้ไว้ใช้ในอนาคตข้างหน้าเช่นกัน
หนังสือคอมพิวเตอร์ เนื่องจากว่าวงการนี้มีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมากมายในเวลาแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น ทำให้หนังสือที่ซื้อไปหมดคุณค่าภายในเวลาไม่นาน ผมเลยเลิกซื้อหนังสือประเภทนี้ไปเลยหลังจากที่เคยบ้าซื้อมาในช่วงที่ยังอยู่ม.ปลาย จะซื้อเฉพาะที่เป็นสาระสำคัญที่ใกล้ตัวเราเท่านั้น ส่วนเรื่องการใช้โปรแกรมอันนั้นผมจะไม่ซื้อเลย เพราะโปรแกรมมีการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและรวดเร็วมากครับ
หนังสือทำอาหารของสำนักพิมพ์แม่บ้านอีกหลายสิบเล่ม เนื่องจากชีวิตคนเราอยู่ได้ด้วยอาหาร ศาสตร์แห่งการทำอาหารจึงต้องเข้ามามีบทบาทตรงนี้แม้ว่าเราจะไม่ชอบทำอาหารนักก็ตาม ควรจะเรียนรู้ไว้สักหน่อยก็ยังดีนา เรื่องนี้เพิ่งตามซื้อเก็บมาหลังจากทำงานหาเงินได้แล้วละครับ
เรื่องของหนังสือไว้รออ่านในแผนการWeblogครั้งต่อไปละกันนะครับ เพราะมีเก็บไว้เยอะจนชั้นหนังสือจะรับไม่ไหวแล้วละครับ
ช่วงที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ แรกๆผมเคยเรียนวิศวะอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่หลังๆผมถึงได้ทราบว่าสมองผมเริ่มจะถูกใช้งานหนักมากโดยเฉพาะในเรื่องการคำนวณอย่างกลศาสตรฺวิศวกรรม วิเคราะห์วงจรไฟฟ้าอิเล็คทรอนิคส์ จนรับไม่ไหวเรียนมาได้2-3ปี ผมก็ต้องลาออกมาแล้วหันไปเลือกเรียนวิชาเนื้อหาเบาๆเน้นปฏิบัติอย่างสหเวชศาสตร์(เทคนิคการแพทย์)ไปซึ่งก็ได้ประสบการณ์กันไปคนละแบบ
เทคนิคการแพทย์นั้นเป็นวิทยาศาสตร์สาขาเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายมนุษย์ในเรื่องของการตรวจทางห้องปฏิบัติการหาสาเหตุของการเกิดโรคจากในเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ ด้วยกระบวนการทางเคมี(หาปริมาณของสารในร่างกาย เพื่อดูความผิดปกติ) วิทยาภูมิคุ้มกัน(ตรวจหาสารหรือเชื้อโรคจากการจับกันโดยจำเพาะของโปรตีนภูมิคุ้มกันในร่างกาย) และ จุลชีววิทยา(เพาะเชื้อจากสิ่งส่งตรวจเพื่อระบุชื่อและชนิดของตัวเชื้อก่อโรค)
เมื่อทำงานหาเงินได้คราวนี้ละเลยถือโอกาสกว้านซื้อการ์ตูนดังๆเนื้อหาดีๆที่ชื่นชอบ รวมถึงหนังสือสาระอื่นๆ

ผลการเรียนของผมนั้นไม่ถือว่าเก่งมากถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ เซียนเกรดเฉลี่ยระดับ3.5ขึ้นไปนั้นเลย 
อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยชอบสนใจจนถึงขั้นแตกฉานลึกซึ้งนักเหมือนกับคนที่ขุดดินหาสมบัติจนได้หลุมลึกแล้วแต่ตัวเองกลับพอใจที่จะขุดต่อไป เพราะจะได้เจอกับสมบัติที่ตัวเองชอบและต้องการ
ในขณะที่ผมกลับเบื่อหน่ายที่จะเรียนรู้สาระในระดับแตกฉานถึงแก่น เสมือนคนที่ขุดดินไปลึกพอสมควรก็เริ่มเบื่อหน่ายเพราะเมื่อได้สมบัติมาพอสมควรในช่วงตื้นๆแล้ว ลึกลงไปกลับหาสมบัติเจอได้ยากมากขึ้น ก็เริ่มหันมาขุดหลุมอื่นๆตามมาแต่ดูแล้วก็ไม่เป็นหลุมเอาซะเลย เหมือนเอาจอบถากขูดดินในแนวกว้างออกไปทีละนิดๆเนื่องจากต้องการสมบัติหลายๆชิ้นแตกต่างกันไปให้ได้จำนวนมากๆ ในเวลาที่รวดเร็วและความพยายามไม่มากจนเกินไป แม้ว่าสมบัติพวกนั้นหลายคนไม่ได้ใช้ แต่ก็มีอีกหลายคนเขาใช้กัน ถ้าเราตั้งใจจะใช้สมบัตินั้นในอนาคตเราก็สามารถหยิบเอามาใช้ได้เลย พอใจเมื่อไหร่เราก็ค่อยๆถากมันไปลึกลงไปเรื่อยๆซึ่งแบบนี้ใช้เวลานานมากครับกว่าจะแตกฉานในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้
การทำแบบนี้แม้จะทำให้เราคิดทำอะไรก็ได้ผลไม่ดีอยู่เรื่อยไปเหมือนคนจับปลาสองมือ แต่ผมกลับสนุกที่จะทำเช่นนั้นครับ ชีวิตมีรสชาติไม่น่าเบื่อด้วย
และเรื่องบางเรื่องนั้นรู้แค่ไหนจึงจะเพียงพอไม่จำเป็นต้องเจาะลึกลงไปมากนัก เราสนใจแค่นั้นก็เท่านั้นละอยู่ที่ความชอบนะ
ใครจะเป็นอย่างผมละก็ให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้เป้าหมายในชีวิตหรือหนทางข้างหน้าต้องพังทลายลงไปซะก่อนนะครับ
รู้สึกว่าผมยังเรียบเรียงเนื้อหาของหัวข้อBlogนี้ได้ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ ผมอาจจะมีการแก้ไขปรับปรุงเพื่อความเหมาะสมในโอกาสต่อไปครับ